"The Storyteller" Tocktum ตั้ม - พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์

"The Storyteller" Tocktum ตั้ม - พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์

ในวงการกีฬาบ้านเรา อาจจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่สามารถสวมหมวกได้หลายบทบาทในเวลาเดียวกัน ทั้ง นักเขียน, นักข่าว, นักจัดรายการวิทยุ, ผู้บรรยายกีฬา, และหรือแม้แต่พิธีกร ที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ในกีฬาหลากหลายประเภททั้งฟุตบอล บาสเก็ตบอล อเมริกันฟุตบอล เบสบอล รวมถึงยกน้ำหนัก!

เขาเป็นคนที่แฟน ๆ อาจจะคุ้นเคยกับเสียงมากกว่า แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

ทุกบทบาทที่เขาทำ มีหัวใจเดียวกันคือ “การเล่าเรื่อง” เล่าให้คนฟังและคนดู รู้สึกอิน, มีส่วนร่วม, และเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเกมที่ตื่นเต้นที่สุดในสนาม หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกสนามกีฬา

วันนี้ Off The Bench ได้มีโอกาสนั่งคุยกับเขาแบบใกล้ชิด เพื่อฟังเส้นทางชีวิตและการเดินทางในโลกแห่งเสียงและกีฬา และได้เข้าใจว่าเบื้องหลังน้ำเสียงที่เราได้ยินนั้น มีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจและติดตามมาแชร์ให้ฟังกันครับ

บรรยากาศการพากย์เกมบาสเก็ตบอล NBA

และนี่คือชายผู้เล่าเรื่องเหล่านั้น The Storyteller  “ตั้ม - พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์” หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ Tocktum

เสียงที่คุณอาจคุ้นเคย.. แต่วันนี้เราจะได้รู้จักตัวตนของเขาจริง ๆ

ตั้ม - พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์

กระดุมเม็ดแรก

ชีวิตของ ตั้ม พรรษิษฐ์ เริ่มมีความเกี่ยวข้องกับวงการกีฬา ตั้งแต่ขณะที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี เอกภาษาอังกฤษ เขามีโอกาสได้ฝึกงานที่ฝ่ายโปรแกรมกีฬาของ “ทรู” ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

ในช่วงนี้มีเกร็ดที่น่าสนใจ คือโดยปกติเด็กๆที่มาขอฝึกงานที่นี่ มักจะขอฝึกงานเป็น บก. เป็นผู้กำกับ , ตัดต่อ หรือโปรดิวเซอร์ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา ในวันนั้นเขาเดินเข้าไปสมัครขอฝึกงานด้วยความตั้งใจว่า อยากเป็นผู้บรรยายกีฬา ซึ่งคำตอบที่ได้คือ

"ไม่มีให้ฝึก ไม่เคยมีใครมาสมัครเป็นผู้บรรยายเลยนะ น้องน่าจะเป็นคนแรก"

สุดท้ายเขาก็ได้รับโอกาส และที่สำคัญ การฝึกงานครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รู้จักผู้ใหญ่ในวงการกีฬาหลายคน รวมถึงพี่ ๆ ดีเจอีกหลายคนที่คอยชี้ทาง เปิดประตูบานเล็ก ๆ เป็นแนวทาง ให้เขาได้ก้าวต่อไปในเส้นทางสายอาชีพในอนาคต

แม้จะเรียนจบเอกภาษาอังกฤษมา แต่ตัวเขาเองกลับไม่เคยไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ

Tocktum สมัยเรียน
หลายคนอาจคิดว่าเขาเรียนจบเมืองนอก หรือเคยอยู่อเมริกา แต่ความจริงไม่ใช่เลย เขาเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการศึกษาและฝึกฝนด้วยตัวเองทั้งหมด

หลังจากเรียนจบ ตั้ม พรรษิษฐ์ เริ่มต้นงานแรกจากการเขียน “ข่าวสั้น” ส่งผ่าน SMS ให้กับ บริษัท Robertel ที่รับงานในเครือ TA Orange ในยุคที่โทรศัพท์มือถือกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบูม ข้อความไม่เกิน 150 ตัวอักษร ที่ต้องกระชับแต่ครบถ้วนคือสนามซ้อมชั้นเยี่ยม ที่ทำให้เขาฝึกจับประเด็น คิดเร็ว เขียนเร็ว และส่งไปถึงคนอ่านให้ตรงใจมากที่สุด

แม้งานเขียนข่าวสั้นดูเหมือนจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่ตัวเขาเองกลับมองว่า นี่คือการวางรากฐานที่ดีให้กับตัวเอง เพราะการ “เล่าเรื่อง” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยาว แต่ขึ้นอยู่กับ วิธีการเล่า

งานนี้บังคับให้เขาต้อง “เล่าเรื่องทุกชนิด” ตั้งแต่ข่าวกีฬาไปจนถึงข่าวการเมือง ข่าวต่างประเทศ และข่าวสังคม ซึ่งมันไม่ง่ายเลย เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลา แต่ก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะ เล่าเรื่องในทุกบริบท และมองเห็นว่าทุกเรื่องราว ถ้าเล่าเป็น ก็มีคุณค่า

"ช่วงนั้นมีเรื่องสนุกๆ เยอะ เรื่องเล่าขนหัวลุกก็มี เช่น สมัยนั้นต้องทำงานย่านพระโขนง สถานที่ทำงานเป็นบ้านเก่าๆ ที่ตั้งอยู่ในทางสามแพร่งซอยหลังใหญ่สุดเลย ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอน"
"กลางคืนต้องเขียนข่าวอยู่กับเพื่อนแค่สองคน บรรยากาศรอบ ๆ หน้าซอยมีทั้งคลินิกทำแท้งเก่า ด้านหลังมัสยิด และตำนานคดีฆาตกรรม ทุกอย่างเหมือนฉากหนังผีไม่มีผิด แต่ก็ผ่านกันมาได้" เขาเล่าพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อกระดุมเม็ดแรกติดเข้าที่ พร้อมกับจังหวะชีวิตที่เข้ามา การสานต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้เขาได้กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนของเมืองไทยที่สามารถจับงานบรรยาย กีฬาอเมริกันเกมส์ ได้อย่างจริงจัง ตั้งแต่บาสเก็ตบอล NBA ไปจนถึงกีฬาอเมริกันที่คนไทยเข้าถึงยากอย่าง NFL


ใครที่เรียกว่าครู

เส้นทางของผู้บรรยายกีฬาไทยนั้นแตกต่างจากอาชีพอื่น

มันไม่มีโรงเรียน ไม่มีหลักสูตร ไม่มีตำราให้หยิบมาอ่านแล้วทำตามได้ สิ่งที่มีคือการลองผิดลองถูกและการเรียนรู้จากรุ่นพี่ที่มาก่อนหน้า

ซึ่งสำหรับตั้ม พรรษิษฐ์ ผู้คนเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมและชี้ทาง จนทำให้เขาเข้าใจว่าอาชีพนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การบอกเล่าเหตุการณ์ในสนาม แต่คือการสร้างความสนุก เชื่อมโยงกับผู้ชม และทำให้เสียงที่ออกไปจากไมโครโฟนมีคุณค่ามากกว่าคำบรรยายธรรมดา

ถ้าจะพูดถึงครูที่อยู่กับเขาในชีวิตจริง คนหนึ่งที่เขาลืมไม่ได้เลยคือ สุวัฒน์ กลิ่นเกษร หรือ น้าติง ที่แฟนๆมวยปล้ำรู้จักกันดี น้าติง เปรียบเหมือนพ่อคนหนึ่งในวงการ เป็นคนพาเขาเข้ามาจัดรายการวิทยุครั้งแรกที่วิทยุจุฬาฯ ให้โอกาสและเปิดประตูสู่โลกที่เขาไม่เคยก้าวเข้าไปมาก่อน

การได้อยู่กับน้าติงไม่ใช่แค่การเรียนรู้งาน แต่ยังเป็นการซึมซับความเป็นครู ความใส่ใจ และการผลักดันที่ทำให้เขารู้ว่าความอบอุ่นและความเอื้อเฟื้อในวงการก็มีอยู่จริง และอีกคนคือ ยศวิน ปราชญ์นคร นักพากย์บาสเก็ตบอล ที่เขายกให้เป็นครูและนายจ้างคนแรก ที่ให้โอกาสเขียนคอลัมน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 และตั้งชื่อนามปากกาว่า “ต็อกตั้ม ติดแป้น”

บรรยากาศการพากย์คู่กับยศวิน ปราชญ์นคร

ชื่อต่อมาคือ อาเปี๊ยก ศุภพร มาพึ่งพงศ์ ชายผู้ทำให้อเมริกันฟุตบอลเริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจและให้หลักคิดกับเขาว่า

"ทุกครั้งที่เล่าเรื่อง ต้องเล่าโดยไม่ลืมว่านอกจากคนฟังที่ฟังมานาน ย่อมมีผู้ฟังเพิ่งฟังครั้งแรกเสมอ"

บางคนเพิ่งเข้ามาวันแรก เปิดมาแล้วเจอเราเลย ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นหน้าใหม่จริง ๆ หรือเขาอาจจะติดตามมานานเป็นสิบ ๆ ปีแล้วก็ได้ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำให้เขาเข้าใจกติกา โดยที่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ที่ดูประจำรู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมากๆ ประโยคที่ถือว่าคลาสสิคมากๆเลย เช่น

"ขออนุญาตินะครับถ้าใครทราบแล้ว ก็ถือว่าเป็นการทบทวน แต่ถ้าใครยังไม่รู้ ก็ถือว่าได้เรียนรู้ใหม่"

เพราะฉะนั้นเวลาเล่า เราต้องต้อนรับทั้งคนที่เพิ่งเข้ามา และคนที่อยู่กับเรามานาน ให้ฟังแล้วรู้สึกว่าได้อะไรกลับไปเสมอ มันจะค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในตัวคนฟังโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกันพี่น้อง นพจินดา อย่าง เอกชัย (ย.โย่ง) นพจินดา รุ่นพี่ผู้ที่ทำให้เขารู้ว่าอาชีพผู้บรรยายกีฬานั้นสามารถเลี้ยงชีพได้จริง อยู่ได้อย่างมีเกียรติ และยังเป็นที่รักของผู้ชมทั้งประเทศ ส่วนน้องชายของเขาคือ ธราวุธ นพจินดา หรือ น้องหนู นี่คือคนที่เป็นทั้งครูและพี่ที่นับถืออีกคนหนึ่งของ ตั้ม พรรษิษฐ์

ธราวุธ นพจินดา (น้องหนู)
"ตอนนั้นผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่หนู ซึ่งเป็นคนที่สอนผมหลายอย่างมาก ด้วยนิสัยส่วนตัว พี่หนูเป็นคนน่ารัก อาจจะพูดจาตรง ๆ ไม่ค่อยหวานหูนัก แต่จริงใจและเข้าถึงได้ง่าย"
"ช่วงนั้นผมยังใหม่มาก ๆ เพิ่งเข้ามาทำงานไม่นานเอง ก็ได้พี่หนูนี่แหละที่เปรียบเหมือนเป็น Big Brother ของพวกเรา แกเป็นผู้ใหญ่ใจดี คอยสอน คอยอธิบาย และเป็นเหมือนด่านแรกที่เด็กใหม่ๆต้องเจอ ก่อนจะถูกส่งต่อไปเรียนรู้กับรุ่นพี่คนอื่น ๆ"

ความประทับใจที่มีต่อพี่หนูนั้น ตั้ม พรรษิษฐ์ เล่าว่าคือ ความเมตตา บางทีคนฟังอาจจะมองว่าทำไมต้องพูดเยอะ ทำไมต้องสอนละเอียดขนาดนี้ แต่จริง ๆ แล้วมันเต็มไปด้วยความตั้งใจที่ต้องการให้เราเข้าใจงานอย่างแท้จริง

ตัวอย่างเช่นเรื่องพื้นฐานของการพากย์กีฬา สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ ทำไมต้องพากย์สองคน เพราะ

ฟุตบอลถูกออกแบบมาให้มีสองเสียง เสียงหนึ่งเล่าเกม อีกเสียงหนึ่งเสริมรายละเอียด สีสัน และอารมณ์ คนละบทบาท

แต่ก็เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าฝั่งไหนสำคัญกว่า มันคือการทำงานร่วมกัน เวลาพูดต้องชัดเจน ใส่อารมณ์ให้เต็มที่ แต่ก็ต้องมีเหตุผล มีข้อมูลสถิติประกอบเพื่อสนับสนุนสิ่งที่พูด

สิ่งสุดท้ายเขาบอกกับ ตั้ม พรรษิษฐ์ ว่า

"พวกเรานี่โคตรโชคดีเลย เพราะอาชีพนี้ไม่ต้องฝืนใจทำอะไร เราได้ทำสิ่งที่เรารัก ได้เงิน และเราแค่ทำให้คนที่นั่งดูอยู่ที่บ้าน สนุกไปกับเกมให้มากที่สุดก็พอ พวกเราโชคดีที่ได้ทำของที่มันสนุกให้สนุกมากขึ้น"
ทีมงาน ทรท.

สำหรับการพากย์แบบเป็นทางการหน่อยอย่างกีฬาที่ถ่ายทอดสดผ่าน ทรท หรือโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย พี่ตุ้ม รณฤทธิ์ บุญพรหม จากช่อง 11 หรือ NBT คือครูคนนั้น

"แกเป็นคนที่สอนผมตั้งแต่พื้นฐานการออกเสียงเลย ตอนนั้นผมอ่านผิดบ้าง ออกเสียงไม่ชัดบ้าง แต่พี่ตุ้มคอยสอน คอยบอกวิธีออกเสียงและวิธีพูดให้ถูกต้อง"
"สอนผมเรื่องการรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้า เพราะความรู้ข้อมูลเรามีจำกัด แต่พอเจอสถานการณ์จริง ๆ มันต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ทันที อันนี้แหละที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ทักษะสำคัญที่สุดจากช่วงเวลานั้น"
พากย์ฟุตบอลบุนเดสลีก้า ดอร์ทมุนด์ พบกับซังต์ เพาลี

เส้นทางที่ยาวนานกว่าจะถึงวันนี้ของ ตั้ม พรรษิษฐ์ ผ่านการร่วมงานกับผู้คนมามากมาย บางคนเป็นพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำ บางคนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่ช่วยกันเรียนรู้และเติบโต แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใจดีเสมอไป วงการนี้มีทั้งคนที่พร้อมเตือน คนที่เฉยเมย และคนที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น

แต่ทั้งหมดก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เขาแข็งแรงขึ้น และเข้าใจธรรมชาติของการทำงานมากขึ้นเช่นกัน

แม้กระทั่งรุ่นน้อง ๆ เด็กรุ่นใหม่ที่ทำงานด้วยกันในปัจจุบัน ตัวเขาก็มองว่านี่ก็คือครูอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ตัวอย่างเช่นเมื่อได้ร่วมงานกับทีม “ขอบสนาม” เขายอมรับตรง ๆ ว่าบางครั้งรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก ความคิด ความกังวล และวิธีทำงานของคนรุ่นใหม่ต่างจากสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง

เขาอาจจะสนใจเรื่องจังหวะ รายละเอียด ความเป๊ะในการจัดการ แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ พวกเขาอาจมองไปที่พลังงาน การแสดงออก ความมันส์ และการเข้าถึงผู้ชมในแบบที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้สอนให้เขาเรียนรู้ว่าโลกเปลี่ยนไปตลอดเวลา และทำให้เขายอมรับว่า

ไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายสอน แต่บางครั้งก็ต้องเปิดใจให้คนรุ่นใหม่กลายเป็นครูของเขาเช่นกัน
Tocktum กับ "ขอบสนาม"

อเมริกันเกมส์ เส้นทางที่ผ่านการวางแผน

ในฐานะผู้บรรยาย ตั้ม พรรษิษฐ์ ผ่านมาแทบจะทุกชนิดกีฬา แต่ถ้าถามถึงความชอบส่วนตัว เขาตอบอย่างไม่ลังเลว่า ผมชอบดูกีฬาแทบทุกชนิด เพราะสมัยเด็ก ๆ เติบโตมาในพื้นที่ที่รายล้อมด้วยสนามกีฬา พ่อก็ทำราชการสถานกรมชลประทานปากเกร็ดที่ใหญ่โตมาก ทำให้เขาได้เล่นกีฬาไปเรื่อย ๆ ทั้งฟุตบอล บาสเก็ตบอล ไปจนถึงกีฬาอื่น ๆ แม้จะไม่ได้เก่งเป็นเลิศ แต่ความรักในการเล่นและการดูกลับฝังแน่นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

เขาเล่าว่าสมัยมหาวิทยาลัยยอมโดดเรียนเพื่อจะได้นั่งดูบาสเก็ตบอลหนึ่งในกีฬาที่โปรดปรานก็ทำมาแล้ว เพราะสำหรับเขาแล้วกีฬาคือสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างห้ามไม่ได้ แม้ฟุตบอลยังคงเป็นกีฬาที่เขาติดตามอยู่ แต่หัวใจจริง ๆ กลับเอนไปทางบาสเก็ตบอลและอเมริกันฟุตบอลมากกว่า

จุดเริ่มต้นนั้นมาจากความคิดที่มองเห็นว่าฟุตบอลปีหนึ่งมีแข่งราว 9 เดือนต่อปีก็จบฤดูกาล ขณะที่บาสและอเมริกันเกมส์มีแข่งยาวพอกันแต่กระจายกันยาวจนครอบคลุมทั้งปี เขาจึงคิดว่าถ้าอยากทำงานในวงการบรรยายกีฬาอย่างต่อเนื่อง เขาควรเลือกจับกีฬาเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย และนั่นกลายเป็นทางเลือกที่ทำให้เขาได้อยู่ในเส้นทางที่แตกต่าง

วัยเด็กของ ตั้ม พรรษิษฐ์ เขาเติบโตมากับยุคทองของ NBA ช่วงต้นทศวรรษที่ 90s ซึ่งทีมที่กลายเป็นรักแรกของเขาคือ Utah Jazz โดยการนำของ John Stockton เพลย์เมกเกอร์ร่างเล็กที่มีสไตล์ไม่หวือหวา แต่เฉียบคม นิ่งและเยือกเย็น สต็อกตันไม่ใช่คนที่กระโดดดังก์แป้นสะเทือนหรือเล่นเพื่อเรียกเสียงฮือฮา แต่เขาคือหัวใจของเกม เป็นคนที่ส่งบอลให้เพื่อนเล่นง่าย และทำให้ทีมดูเป็นระบบ

เขาชื่นชอบสต็อกตันเพราะเห็นภาพสะท้อนของตัวเองอยู่ในนั้น เขาเล่าว่า “สไตล์แบบนี้เขาน่าจะเล่นได้” เพราะไม่ต้องอาศัยร่างกายที่ใหญ่โต แต่ต้องใช้สมาธิและการอ่านเกม ยิ่งได้ฟังผู้บรรยายในยุคนั้นเล่าว่าสต็อกตันเป็นนักบาสเจ้าเล่ห์ที่เล่นด้วยความฉลาด ก็ยิ่งหลงใหลมากขึ้น

เวลาเล่นบาสกับเพื่อน เขาจึงมักเลือกเล่นตำแหน่งการ์ดจ่าย เฉกเช่นเดียวกับฮีโร่ของเขา และที่ลืมไม่ได้เลยคือ เพราะเขารู้สึกว่านี่คือตำแหน่งที่สาว ๆ กรี๊ดมากที่สุดนั่นเอง 😄

"ถ้ามองไปที่ช่อง 7 ผมแทบจะไม่มีโอกาส เพราะทั้งปีมีคู่ถ่ายทอดไม่ถึง 20 คู่ และเต็มไปด้วย “เจ้าที่” หรือผู้ประกาศที่มีชื่อเสียงอยู่เต็มไปหมด เราต้องไปต่อคิวยาวเหยียด แต่ถ้าเป็น ทรูวิชั่น มันต่างออกไป เพราะทรูถ่ายทอดกีฬาตลอดทั้งปี ยิ่งโดยเฉพาะฟุตบอลที่มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันแทบทุกสัปดาห์ แต่ก็เหมือนเดิมคู่แข่งยาวเป็นหางว่าวแต่โอกาสก็มากกว่า"
"แต่ในจุดนั้นผมกลับมองเห็นโอกาสในช่องว่าง นั่นคือบาสเก็ตบอล ที่มีผู้บรรยายเพียง 4 คน เลยคิดว่าถึงจะไม่ได้เป็นตัวเลือกแรก แต่อย่างน้อยก็ยังพอ “เสียบ” เข้าเป็นคนที่ 5 ได้ ดีกว่าไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้ผมตัดสินใจเดินหน้าไปขอทำกับทรู ทำควบคู่ไปกับงานวิทยุ ที่ FM 99 อสมท. ทำงานเขียนทั้ง นสพ และบทความต่างๆ"
พากย์บาสเก็ตบอล NBA

ด้วยสภาพแวดล้อมการทำงานที่เต็มไปด้วยสื่อทั้งวิทยุและหนังสือพิมพ์ งานที่ต้องทำคือเขียนคอลัมน์ทุกวัน ครอบคลุมตั้งแต่ข่าวอเมริกันเกมส์ มอเตอร์สปอร์ต ไปจนถึงข่าวซุบซิบเบื้องหลัง ทุกอย่างถูกโยนเข้ามาให้ทำทั้งหมด เพราะตัวเขายังถือว่าเป็นเด็กใหม่ในทีม

เขาบอกว่านี่แหละที่กลายเป็นโรงเรียนที่สอนให้เขาเล่าเรื่องได้ทุกรูปแบบ เพราะการถูกสั่งให้ทำทุกอย่าง มันจึงทำให้เขาได้เห็น ได้เรียนรู้ และได้ฝึกฝนมากกว่าที่คิด ทุกข่าว ทุกบทความ ทุกคอลัมน์ กลายเป็นเส้นทางที่พาเขามาถึงจุดนี้ได้ในที่สุด


จุดเปลี่ยนในการพากย์กีฬา

เขายังจำได้ดีถึงหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในการพากย์กีฬา วันที่รู้สึกเหมือน “ปลดล็อก” ตัวเองในฐานะผู้บรรยาย วันนั้นเป็นการแข่งขันบาสซีเกมส์ ไทยเจอกับฟิลิปปินส์ เกมที่สูสีสุด ๆ และไทยแพ้เพียงเล็กน้อย

ในระหว่างการพากย์นั้น เขาใส่เต็มที่ พูดตรง พูดตลกปนจริงจังจนทำให้บรรยากาศสนุกและลุ้นไปพร้อม ๆ กัน เหมือนกับว่าความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้หลุดออกมาโดยไม่ต้องเก็บกด วันนั้นผู้คนพูดถึงเขากันเต็ม “Pantip” (หนึ่งในเว็บบอร์ดที่ฮิตที่สุดในยุคนั้น) ถึงการพากย์ที่แตกต่างและสดใหม่ ราวกับว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาได้แสดง “แนวทางของตัวเอง” ออกมาอย่างชัดเจน

เขาไม่สนใจแล้วว่าจะถูกยอมรับหรือไม่ แต่เลือกจะทำหน้าที่ในแบบที่อยากทำ นั่นคือ การเอนเตอร์เทนคนดูอย่างเต็มที่ เขายอมรับว่าตัวเองมีความ “ทะลึ่ง เสียดสี ขี้เล่น” อยู่ในนิสัย และก็ไม่ปฏิเสธว่ามันสะท้อนออกมาในสไตล์การบรรยาย

"พี่ที่สนิทเคยบอกผมว่ามึงเป็นแบบนี้ก็ดีนะ แต่ต้องระวังด้วย คนมีทั้งชอบทั้งด่าแต่ถ้าไปให้สุดมันจะเป็นความรักอีกแบบ รับได้ไหม ไม่เกลียดก็ศรัทธาไปเลย"

ซึ่งเป็นคำพูดที่เขารู้สึกว่าอยากได้ยิน ในความคิดของเขา คนไม่มีตรงกลาง ถ้าชอบก็จะรักและศรัทธา แต่ถ้าไม่ชอบก็จะไม่สนใจเลย แต่เราจะทำอย่างไรให้คนทั้งสองฝั่งนี้ ยังติดตามดูเราอยู่ตลอด และสำหรับเขา แม้แต่คนที่คอยตามด่าก็ยังมีค่า เพราะนั่นหมายถึงเขายังถูกเฝ้ามองอยู่

เขาเปรียบเทียบกับนักฟุตบอลเก่ง ๆ อย่าง “ก็องโต้” (เอริค คันโตน่า) ที่ได้เสียงยอมรับเปรียบเสมือนอยู่บนยอดพีระมิด แต่ถามว่าเก่งขนาดท็อปของโลกดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาไหม ก็คงไม่ขนาดนั้นแต่เจ้าตัวก็มีอัตลักษณ์ ที่น่าจดจำ

ซึ่งต็อกตั้ม มองว่าเขาเองคงคล้ายๆกัน แต่ตัวเองไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาด ก็องโต้ หรอก แต่มีมุมวิธีคิดคล้ายๆกันบ้าง สิ่งที่เขามีคือ “ความชัดเจนในตัวตน” จนทำให้คนจดจำ และอาจจะพูดได้ว่า

ครั้งหนึ่งเขาคือคนในยุคที่กล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง จนเปิดทางให้คนรุ่นหลังกล้าที่จะทำตาม
"ในเหตุการณ์เดียวกันตัวของผู้บรรยายสามารถเลือกได้ ว่าจะพูดออกไปในทิศทางไหน ทั้งข้อมูล อารมณ์ของเกม เครียด มีอารมณ์ขัน หรือไปตัดสินคนในสนาม"
"ยกตัวอย่างเช่น ผู้เล่นบางคนที่มักชอบเล่นตุกติกหรือค้าช่องว่างในกติกา บางคนอาจจะชื่นชมว่าเก๋าเก่ง แต่ผมเองทำใจพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ แต่ยินดีที่จะบอกว่าผู้ตัดสินพลาดแล้ว ”

แค่ไหนเรียกเป็นกลาง

ด้วยจังหวะของเวลา เขาไม่มีโอกาสได้พากย์บาสเก็ตบอลในยุคทองของ Utah Jazz ที่มี Stockton และ Malone แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่ได้เสียดายอะไร เพราะการเป็นผู้บรรยายไม่ใช่การพากย์เชียร์ทีมรัก แต่คือการเล่าเกมตรงหน้าด้วยความซื่อสัตย์ จะเป็นทีมที่ชอบหรือไม่ชอบก็ต้องเล่าในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ความเป็นแฟนทีมหนึ่งไม่ได้มีผลกับงานมากเท่ากับการทำหน้าที่เล่าเรื่องให้คนดูสนุกและเข้าใจ

"คนดูไม่มีหน้าที่ต้องเป็นกลาง แต่ผู้บรรยายต้องเป็นกลาง" เขากล่าวอย่างชัดเจน

คนดูมีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะด่า เชียร์ หรือระบายอารมณ์ เพราะนั่นคือเสน่ห์ของการเป็นแฟนกีฬา แต่ผู้บรรยายต้องรับผิดชอบทุกถ้อยคำ เพราะเสียงที่ออกไปไม่ได้สะท้อนแค่เกมในสนาม แต่มันคือภาพลักษณ์ของอาชีพและความน่าเชื่อถือที่ผู้ชมฝากเอาไว้

เขาเชื่อว่าหน้าที่หลักของผู้บรรยายคือ อยู่ข้างความจริง อะไรเกิดขึ้นก็ต้องพูดไปตามนั้น จะดีหรือร้ายก็ต้องเล่าอย่างที่มันเป็น ความท้าทายอย่างหนึ่งของการเป็นผู้บรรยายฟุตบอล คือการต้องยืนอยู่ระหว่าง “ความรู้สึกของแฟนบอล” กับ “ความเป็นกลางของคนทำงาน” ผู้ชมเองก็มีหลายแบบ บางคนอยากฟังการวิเคราะห์แทคติก บางคนก็อยากได้อารมณ์ร่วม และบางคนที่ไม่สนใจอะไรเลย

"ผมเองก็เป็นแฟนเชลซี เวลาทีมรักเล่นได้ดี ก็อดไม่ได้ที่จะอยากชม แต่ในฐานะผู้บรรยาย ผมรู้ว่าหน้าที่ของผมคือพูดตามสิ่งที่เห็นตรงหน้า สิ่งที่ผมยึดไว้คือ บรรยายตามจริง เพราะนั่นแหละคือมาตรฐานของความเป็นมืออาชีพ"
"แม้เป็นทีมรัก ถ้าเล่นดีผมก็ต้องชม จะให้ผมด่าเหรอ? ถ้าเล่นแย่ก็ต้องวิจารณ์ตรงไปตรงมา"
บรรยากาศโต๊ะทำงาน
"ผู้บรรยายบางคนเพื่อความเป็นกลางเขาจดไว้เลยนะว่าพูดชมทีมนี้ไปแล้ว 5 ครั้ง อีกทีมจะได้พูดชมให้เท่ากัน แต่สำหรับผมไม่ได้ต้องทำถึงขนาดนั้น ผมเข้าใจดีว่า แฟนบอลบางคนมีความสุขกับการได้ด่า ได้ระบายออกมา โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร"
"มันอาจเป็นทางเดียวที่เขาจะมีตัวตนในชีวิตที่เครียดและกดดัน เพราะถ้าเขาต้องรับผิดชอบ อย่างเช่นต้องขึ้นศาล เขาก็คงจะไม่สนุกด้วยแล้ว" เขาเล่าเสริม
"ในฐานะผู้บรรยาย ผมขอเลือกที่จะอยู่ข้างความสนุกของเกม ต่อให้ต้องโดนหาว่าไม่เป็นกลางก็ตาม เพราะหน้าที่ของผมคือถ่ายทอดเกมตามจริงต้องทำให้มันสนุก ผมต้องรับผิดชอบกับคนดู ไม่ว่าจะเป็นเกมที่สูสีหรือเกมที่ขาดลอยแล้วก็ตาม"
"บางทีสกอร์ อาจจะ 3-0 , 4-0 ไปแล้ว บางคนปิดจอไปแล้ว แต่ผู้บรรยายยังทิ้งเกมไปไม่ได้ จะให้อู้จับเวลาถอยหลังก็ไม่ได้ ต้องอยู่จนจบ ต้องทำให้คนที่ยังดูอยู่ ยังสนุกตลอด 90 นาที แม้มันจะไม่ง่าย แต่ก็คือสิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นว่า นี่แหละคือความหมายของการเป็นมืออาชีพ"

เขายังเล่าว่าตัวเองโชคดีที่ทำงานมาตั้งแต่ยุคก่อนโลกโซเชียลจะเฟื่องฟู เพราะทุกวันนี้เสียงวิจารณ์ในโลกออนไลน์สามารถทำให้ผู้บรรยายไขว้เขวได้ง่าย หลายคนอาจเสียสมาธิกับเสียงด่า แต่สำหรับเขา มองว่าคำด่าเป็นเรื่องปกติ

บางครั้งมันก็เป็นเพียงการระบายของผู้ชมที่เหนื่อยล้าจากชีวิตจริงและอยากหาพื้นที่ปลดปล่อย เขาไม่เคยถือสา ตรงกันข้ามกลับเข้าใจว่ามันคือส่วนหนึ่งของวงการกีฬา

และทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าหน้าที่ของเขาคือทำให้เกมยังสนุกอยู่ ไม่ว่าจะถูกใครด่าหรือไม่ก็ตาม


พูดไม่ออก/พูดไม่ได้/หรือไม่ได้อยากจะพูด?

คำถามที่ว่า “เคยมีบ้างไหมที่พูดไม่ออก?” ฟังดูง่าย แต่คำตอบไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่คิด เพราะการพูดไม่ออกในฐานะผู้บรรยายกีฬานั้นไม่ได้หมายถึงการเกร็งกับงานใหญ่ หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมที่จะเจอกับเกมสำคัญ แต่เป็นเพราะ “ภาพที่เห็นตรงหน้า” มันบีบหัวใจจนคำพูดติดอยู่ที่ลำคอ

เขาเล่าว่ามีครั้งหนึ่งที่ได้เห็นภาพนักกีฬาขาหักสองท่อน กระดูกทะลุหน้าแข้งออกมาต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นปากสั่นไปหมด ไม่รู้จะพูดยังไงต่อดี โมเมนต์เหล่านี้คือเรื่องที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เมื่อมันเกิดขึ้น ผู้บรรยายก็ต้องทำหน้าที่ต่อ ต้องหาคำพูดที่เหมาะสมที่สุดเพื่อสื่อสารกับคนดู โดยไม่ทำให้สถานการณ์หนักเกินไป แต่ก็ต้องไม่ปิดบังความจริงที่เกิดขึ้น

 “การพูดไม่ออก” ในหลายๆครั้งที่ ก็อาจจะเกิดจากความตื้นตันและอารมณ์ร่วมที่ยากจะห้าม เช่น วันที่ได้บรรยายเกมสุดท้ายในชีวิตของโคบี้ ไบรอันท์ หรือวันที่เห็นเดอร์ริค โรสกลับมาทำแต้มสูงสุดในอาชีพหลังจากเจ็บยาวแล้วร้องไห้กลางสนาม

เขายอมรับว่าขณะบรรยายก็มีน้ำตาคลอไปด้วย เพราะรู้พื้นหลังของนักกีฬาเหล่านี้ดี และรู้ว่าพวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง กีฬาที่ดีบางครั้งก็ไม่ได้ให้แค่ความสนุก แต่มันทำให้หัวใจของผู้บรรยายเองสั่นไหวไม่แพ้คนดู

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เขาจำได้แม่นคือการบรรยายเอเชียนเกมส์ในช่วงของการแข่งขันยกน้ำหนัก นักกีฬาจีนรุ่นน้องขึ้นมายกครั้งแรกจนทำลายสถิติโลก เขาพูดออกมาทันทีด้วยความดีใจว่า “นี่คือสถิติโลก” เพราะมันคือความจริงที่น่าภาคภูมิใจ แต่เพียงชั่วครู่ต่อมา ท่าที่สองกลับเกิดอุบัติเหตุ ศอกหลุดต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกที่ขึ้นสูงสุดจู่ ๆ ก็พังทลาย และผู้บรรยายอย่างเขาต้องหาคำมาพูดต่อให้ได้ทั้งที่หัวใจตัวเองก็สั่นไหวไปด้วย

กับวงการกีฬาไทย เขายังจำได้ดีถึงบรรยากาศวันที่ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเหรียญทองโอลิมปิกครั้งแรก เสียงเชียร์ ความดีใจ และบรรยากาศการเฮลั่นแบบลืมโควิดไปชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนกระโดดกอดกัน น้ำตาแห่งความสุขหลั่งออกมาโดยไม่ต้องอายใคร

โมเม้นต์การพากย์การแข่งขันของน้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ

สำหรับตัวเขาแล้ว ความผูกพันกับน้องเทนนิสยิ่งทำให้โมเมนต์นั้นกินใจเป็นพิเศษ เพราะเขารู้ดีว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ เธอเคยพลาด เคยผิดหวังอะไรมาบ้าง (ตั้งแต่โอลิมปิกที่ ริโอฯ ประเทศบราซิล) เพราะตัวเขาเองก็บรรยายอยู่ตรงนั้นด้วยเมื่อครั้งที่เธอพลาดในโอลิมปิกครั้งก่อนหน้า ดังนั้นวันที่ได้เหรียญทองจึงเหมือนการปลดล็อกทั้งใจของนักกีฬาและหัวใจของตัวเขาเอง

“การพูดไม่ออก” ใช่ว่าทุกครั้งจะมาพร้อมความสุข หลายครั้งมันมาพร้อมความตกใจแบบกะทันหัน สิ่งที่คนดูไม่เคยเห็นคือเบื้องหลังที่ห้ามหยุดพูดเด็ดขาดอย่างเหตุการณ์ คริสเตียน อีริคเซน นักฟุตบอลทีมชาติเดนมาร์ก ล้มฟุบหมดสติกลางสนามระหว่างการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020

"นาทีนั้นโฆษณาก็หมดแล้ว จะเงียบก็ไม่ได้ โปรดิวเซอร์ก็ตะโกนในหูฟังว่า “พูดไปๆๆเลี้ยงไปก่อน! อย่าหยุด!” มันคือความรับผิดชอบในฐานะนักพากย์ ต่อให้ใจสั่นแค่ไหนก็ต้องเล่าต่อ เล่ายังไงไม่ให้คนตกใจไม่ต้องดราม่า เพราะนี่คือคนที่แฟนๆรักกำลังเอาชีวิตรอดในสนาม"
"การถ่ายทอดสดจากเมืองนอกกำลังเล่าเรื่องอะไร อันไหนคือมารยาทสากล อันไหนจรรยาบรรณ แต่ต้องไม่ลืมประคองบรรยากาศให้เดินไปได้อย่างสมดุลไม่เครียด ผ่อนคลายเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นมืออาชีพ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องรับผิดรอบกับคนดู มีทีมข้างหลังอีกมาที่ฝากใจไว้กับเรา"

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเชื่อมั่นในคำสอนของรุ่นพี่เสมอ ว่ากีฬาทุกชนิดมี “บุคลิก” ของมัน สนุกเกอร์ต้องเล่าด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่อึกทึกเหมือนมวย มวยต้องเข้มข้นและเร้าอารมณ์ จะเอาน้ำเสียงแบบกีฬาขี่ม้ามาบรรยายไม่ได้

และฟุตบอลต่อให้เกมจะน่าเบื่อหรือสกอร์ขาดก็ต้องอยู่กับมันจนจบเก้าสิบนาทีเต็ม ทุกกีฬามีธรรมชาติของมัน และหน้าที่ของผู้บรรยายคือปรับจังหวะและถ้อยคำให้พอดีกับบุคลิก


นอกเวลาการทำงาน

แม้ชีวิตการทำงานจะผูกพันกับกีฬาแทบทั้งวัน แต่เมื่อพูดถึงเวลาว่างของ ตั้ม พรรษิษฐ์ ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ที่เติมเต็มทั้งกายและใจ เขาเล่าว่า จริง ๆ แล้วก็เคยบาดเจ็บหนักถึงขั้นผ่าเอ็นไขว้หน้า (ACL) มาแล้วหนึ่งครั้ง ทำให้การลงเล่นกีฬาหนัก ๆ เหมือนสมัยก่อนเริ่มไม่ไหวเหมือนเดิม แต่ร่างกายก็ยังโหยหาการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

ทุกวันนี้เวลาว่างเขาจึงหันมาออกกำลังกายเบา ๆ แบบได้อยู่กับตัวเองมากกว่า ทั้งวิ่งจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน หรือบางครั้งก็แค่ขยับเพื่อให้ร่างกายไม่หยุดนิ่ง โดยนอกจากกีฬาแล้ว สิ่งที่อยู่กับเขามาตลอดก็คือดนตรี ซึ่งตัวเขายังคงเล่นกีตาร์ เล่นเบสอยู่เสมอ ๆ พอให้หัวใจได้ผ่อนคลาย และบางทีก็มีเล่นเกมบ้าง เพราะมันคืออีกโลกเล็ก ๆ ที่เขาจะพอได้หลบไปพักหายใจได้บ้าง

เมื่อถามว่าเคยนึกถึง “การรีไทร์” ไหม เขายอมรับว่าอยากมาก  เพราะชีวิตการทำงานด้านนี้กินเวลามาตั้งแต่เรียนจบ ทั้งสุขภาพก็เริ่มเตือนให้เห็นชัดว่า

นาฬิกาของร่างกายกำลังหมุนกลับด้าน เวลานอน เวลาตื่น ไม่เคยเป็นไซเคิล(Cycle)ปกติเหมือนคนทั่วไป

เขายอมรับว่าเพื่อนร่วมงานบางคนมีปัญหาสุขภาพ ความดัน โรคประจำตัว ซึ่งล้วนเกิดจากวิถีชีวิตที่สวนทางโลกทั้งนั้น อย่างในช่วงเวลาที่ป่วย สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจเสมอ ก็คือการได้ย้อนกลับไปดูผลงานเก่า ๆ ของตัวเอง เห็นคอมเมนต์ที่มีคนพูดถึงเขาในแง่ดี ได้รับรู้ว่ามีคนยังจำเราได้และเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ

มันเหมือนเป็นพลังใจที่ผลักให้ก้าวต่อไป มันเป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยม เหมือนกับทำให้รู้ว่าเขามีความสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่เพียงเพราะคนเหล่านั้นเคยสนับสนุนด้วยเงินทอง แต่เพราะพวกเขาคือผู้ที่อยู่ข้างๆ คอยสนับสนุนทางใจอยู่เสมอ และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขายังคงทำงานอยู่

"ไม่ว่าจะแมตช์ใหญ่ระดับยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หรือแมตช์เล็ก ๆ ในดิวิชั่น 2 ผมมีความสุขกับทุกเกม ผมเต็มที่เท่ากันหมด เพราะความท้าทายของผมอยู่ที่ว่า ผมจะทำให้ตัวเองมีความสุขกับ 90 นาทีตรงหน้านั้นได้หรือเปล่า และสำคัญที่สุดคือ.."
"ผมจะทำให้คนที่นั่งฟังนั่งชมอยู่ทางบ้าน รู้สึกสนุกและแฮปปี้ไปพร้อมกันได้ไหม นั่นคือเป้าหมายที่ผมตั้งไว้เสมอ”

เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากทำต่อไป คำตอบของเขากลับเรียบง่ายแต่จริงใจ เขาบอกว่าอยากทำหนังสือสักเล่ม อยากแชร์ อยากเล่าเรื่องราวที่ได้พบ ได้สัมผัสจากการเดินทางอันยาวนานในสายกีฬา อยากสอน อยากถ่ายทอด ไม่ใช่สอนแบบเข้าห้องเรียน แต่เป็นการเล่าให้ฟัง แชร์ให้คนรุ่นหลังเก็บไปใช้ต่อ

เขารู้ตัวเองว่ากำลังจะเข้าสู่เลขห้าแล้ว สิ่งที่มีอยู่ในมือทั้งหมด จึงอยากส่งต่อไปให้มากที่สุด ไม่ได้คิดเรื่องเงินมากมาย แต่คิดว่าถ้ามีคนได้อะไรจากประสบการณ์ที่เขาสะสมมาบ้าง ก็น่าจะคุ้มค่าแล้ว

“ผมอยากให้ทุกคนดูกีฬาอย่างมีความสุข” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

อยากให้ทุกคนมีความสุขกับการดูกีฬา

สิ่งสำคัญที่ ตั้ม พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์ อยากฝากไว้กับคนดูทุกคนและแฟนๆของเขา ก็คือ

“ผมอยากให้ทุกคนมีความสุขกับการดูกีฬา” ต่อให้บางครั้งคุณอาจจะได้ยินผู้บรรยายพูดไม่เข้าหูบ้าง หรือเห็นนักฟุตบอลทำอะไรผิดพลาดบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดด่า ไม่ต้องหยุดแสดงความรู้สึก เพราะนั่นคือธรรมชาติของการดูกีฬา

แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องสนุกไปกับมัน เพราะเวลาของเรามีค่ามาก อย่าเสียเวลาไปกับความหงุดหงิดเลย เวลาคุณดูบอล 90 นาที อาจเจอช็อตที่ไม่ถูกใจตั้งแต่นาทีที่ 7 แล้วคุณจะเก็บความโมโหนั้นไปจนจบเกมทำไม? ในเมื่อสิ่งที่เหลืออยู่คือความสุขที่คุณยังเลือกจะได้จากเกมนั้น

"ผมเชื่อว่าชีวิตคนเราเจอเรื่องไม่ดีมามากพอแล้ว 555 ดังนั้นถ้าเจอความสุขเล็ก ๆ ระหว่างทาง ก็ควรขยายให้มันใหญ่ขึ้น ไม่ใช่เกมจบแล้วแต่อารมณ์ยังไม่จบตามไปคอมเมนต์ต่อ แต่สำหรับผม มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย มันไม่เป็นอะไรเลย ยังสนุกไปกับมันได้"
เหมือนในสนามฟุตบอลที่เมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลา ทุกอย่างก็จบตรงนั้น
"ผมไม่รู้ว่าวิธีคิดแบบนี้ดีหรือไม่ดีนะครับ แต่ผมรู้ว่าผมเรียนรู้มันมาจากกีฬามากมาย  อย่างฟุตบอลคือกีฬาที่ต้องปะทะ ถ้าคุณคิดจะเตะใครสักคน สิ่งแรกที่คุณต้องยอมรับให้ได้คือ คุณเองก็ต้องพร้อมที่จะโดนเตะกลับด้วยเหมือนกัน และเช่นกันถ้าคุณเชื่อใจเพื่อนร่วมทีม ส่งบอลให้เขา เขาก็จะส่งกลับคืนมา"

และนี่แหละคือปรัชญาที่เขาใช้กับชีวิตมาตลอด ไม่ใช่แค่ในสนาม แต่กับทุกเรื่องของการทำงานและการใช้ชีวิตตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับตัวเขาแล้ว "การบรรยายกีฬา" ไม่ได้เป็นเพียงอาชีพ แต่เป็นเวทีชีวิตที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ เติบโต และได้ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน..

ตั้ม พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์ (Tocktum)

ติดตามเรื่องราวของเจ้าตัวได้ที่ Facebook

📸: Tocktum