เมื่อภาษาข้ามพรมแดนกับ “ทิซัง” ทิวาพล สังขพันธ์

เมื่อภาษาข้ามพรมแดนกับ “ทิซัง” ทิวาพล สังขพันธ์

ช่วงเย็นวันหนึ่ง ณ ร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวไทย หม้อไฟเนื้อ” ย่านนวลจันทร์ ร้านที่เหล่าคนกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล มักใช้เป็นสถานที่นัดพบปะกันเป็นประจำ พวกเราทีมงาน Off The Bench ก็ได้มีโอกาสได้นั่งลงพูดคุยกับคนๆหนึ่งที่แฟนบอลไทยที่สนใจในฟุตบอลญี่ปุ่นน่าจะพอคุ้นๆหน้ากันบ้าง

ทิวาพล สังขพันธ์ (คนกลาง)

 “ทิวาพล สังขพันธ์” หรือที่แฟนบอลไทยรู้จักกันในชื่อ “ทิซัง” (แปลว่าพี่ทิ ในภาษาญี่ปุ่น) ล่ามฟุตบอลชาวไทย ไม่ได้แตะต้องเนื้อในหม้อไฟมากนัก เขานั่งจิบเบาๆ แล้วมองออกไปนอกร้าน เปิดหัวการสนทนาด้วยการอัพเดทชีวิตหลังกลับมาอยู่เมืองไทย ได้ซักระยะหนึ่งแล้ว

“ช่วงนี้ผมยังปรับตัวไม่ได้เลย” เขากล่าว ทิซังยังคงเป็นคนตรงเวลาชนิดที่ “ใครนัดผม ช้ากว่าผมหมด”

ความเป๊ะตามมาตรฐานญี่ปุ่น ยังคงวนเวียนอยู่ในตัวทุกช่วงการใช้ชีวิต

แม้กระทั่งตอนแผ่นดินไหวที่ไทย สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือ “กระเป๋าฉุกเฉิน” พร้อมน้ำ และอาหารแห้ง สำหรับอยู่ได้ 3–4 วัน

“ผมยังหันหัวรองเท้าไปทางประตูทุกครั้งตอนเข้าห้อง เผื่ออะไรจะเกิดขึ้น ต้องใส่วิ่งได้เลย”

ทิซังเล่าให้ฟัง กับสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมเสมอเวลาอยู่ที่ญี่ปุ่น

กลับไทยรอบนี้ เขาโหยหาอาหารไทยเป็นอย่างมาก ข้าวผัดกุนเชียงคือของโปรดใหม่, ไส้เป็ดคือของเด็ดที่ญี่ปุ่นไม่มีแน่ๆ, น้ำจิ้มซีฟู้ดหลากหลายแซ่บ ๆ, แจ่วบองกับข้าวเหนียวคือของที่ติดแบบถอนตัวไม่ขึ้น

“อาหารไทยคือเดอะเบสท์จริง ๆ ครบรส กินอะไรก็อร่อยไปหมด ช่วงนี้ผมไม่แตะอาหารญี่ปุ่นเลย รวมถึงเนื้อวัวด้วย สงสัยเบื่อจริงๆ ละมั้ง”

แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างเหมือนกันที่ยังปรับตัวไม่ได้ ยังรู้สึกแปลกๆอยู่ เช่น ไม่ชินกับการใส่รองเท้าแตะเดินเล่น, ไม่คุ้นกับการใส่เสื้อบอลแล้วเดินออกไปข้างนอก, ไม่กล้าเข้าห้าง เพราะ กลัวแอร์หนาว, เข้าออฟฟิศทีไร ป่วยแทบทุกครั้ง เพราะแอร์เย็นจัด

ตั้งแต่กลับมาไทย ทิซังเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีเพื่อนเยอะขนาดนี้ เพื่อนเยอะขนาดมีคนชวนออกเกือบทุกวัน ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งหลักชีวิตแบบชัดๆ กำลังพยายามกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ไทยนานแค่ไหนหรือต้องกลับไปญี่ปุ่นอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเลยคือ...

“ภาษาไทยของผมแข็งแรงขึ้นเยอะเลยครับ” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ

เมื่อทิซังได้อัพเดทชีวิตตัวเองไปพอสมควรแล้วก็คงถึงเวลาเสียที ที่ตัวเขาจะพาพวกเราย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้นของเขากันอีกครั้ง...


จุดเริ่มต้นของล่ามที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นล่าม

ทิซังคือหนึ่งในรุ่นบุกเบิก ที่เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบจริงจัง เป็นนักศึกษากลุ่มแรกๆในยุคนั้นของเมืองไทย เรียนจบมาถึงขั้นใช้งานได้ในระดับล่าม ซึ่งในยุคนั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะการเรียนภาษาเพื่อเป็นล่ามยังถูกมองว่า ไม่ใช่ทางเลือกที่มั่นคงนัก

แรงผลักดันแรกเริ่มนั้นมาจากความชอบล้วนๆ ดนตรี การ์ตูน ความบันเทิงจากแดนอาทิตย์อุทัยที่ใครหลายคนในช่วงยุคคาบเกี่ยว 90’s หลงรัก เขาเองก็เช่นกัน

“สุดท้ายก็มาลงตัวที่ภาษาญี่ปุ่นนี่แหละ มันเริ่มจากความชอบครับ เรียนไปก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้วางแผนว่าจะเอาไปทำอะไรต่อ คล้าย ๆ กับคนที่เรียนภาษาฝรั่งเศสในตอนนั้นนั่นแหละครับ ว่าไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร ก็เลยเลือกเรียนศิลป์ - ญี่ปุ่น”

แต่สุดท้ายพอจบมา ถือว่าถูกจังหวะ อย่างแท้จริง เพราะช่วงที่ทิซังเรียนจบ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาเปิดโรงงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ญี่ปุ่นลงทุนในไทยด้วยเม็ดเงินมหาศาล มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเข้ามาพร้อมกับบุคลากรชาวญี่ปุ่น ทำให้มีความต้องการล่ามภาษาญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

“ผมเป็นเด็กจบใหม่แต่ได้เงินเดือนตั้ง 20,000 กว่าบาทเลยครับ ยุคนั้นนี่ถือว่าเยอะมากเลยนะ”

แต่เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบซากุระเสมอไป...ทิซังเริ่มต้นในสายงานล่าม โดยได้งานแรกเป็นโรงงานแถวสมุทรปราการ แต่แค่ไม่กี่เดือน เขาก็เริ่มรู้สึกว่า นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

“อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนครับ แล้วก็รู้สึกไม่ใช่เลย ถึงขั้นคิดจะเลิกเป็นล่ามไปเลย เพราะมันอึดอัด เราอยู่ตรงกลางในการสื่อสาร บางครั้งรู้เรื่อง แต่พูดอะไรมากไม่ได้ เหมือนต้องเงียบ ทั้งที่เราอยากช่วย”

เขาตัดสินใจลาออกทันทีแบบที่ยังไม่มีแผนรองรับ แต่ว่างงานได้ไม่นาน เพื่อนคนหนึ่งก็ชวนให้ไปเป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนสอนภาษาแถวสุขุมวิท โดยทำหน้าที่สอนภาษาญี่ปุ่นให้คนวัยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มวิศวกร แม้จะไม่ใช่สิ่งที่หลงรักนัก แต่ก็คิดว่าลองทำไปก่อน

“ตอนนั้นก็คิดนะว่า...ลองดูละกัน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ทางอีกครับ เรารู้สึกเหมือนต้องพยายามทำตัวให้ดูโต ทั้งที่ข้างในเรายังไม่พร้อมเลย บางครั้งก็สอนแล้วรู้สึกว่า เขาไม่เข้าใจเพราะอะไร? เราสอนไม่ดีเหรอ? หรือเพราะเราเด็กไป?”

เผลอแปปเดียวผ่านไป 4 ปี บทบาทคุณครูของเขาจบลง ทิซังที่ตอนนั้นอายุ 28 ปีแล้ว ได้พบโอกาสใหม่อีกครั้ง จากเพื่อนที่ชวนให้มาร่วมงานในบริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อแปลหนังสือภาษาญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทนี้อยู่ในเครือของสยามสปอร์ตนั่นเอง

“เริ่มต้นก็แปลทุกอย่าง ผมผ่านมาหมด แต่สุดท้ายงานหลักคือแปลหนังสือรถครับ งานจะทำที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ทำที่บ้านก็ได้ เขาดูแค่จำนวนหน้าที่แปลได้กับคุณภาพของงาน”

พออยู่ไปเรื่อยๆ ภายหลังคนในบริษัททยอยลาออกกัน จนสุดท้ายทิซังกลายเป็นคนเดียวที่ต้องรับงานที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นทั้งหมด เขาถูกผลักดันให้กลายเป็น Project Manager ประสานงานกับลูกค้าญี่ปุ่นโดยตรง ทั้งงานแปล งานอีเวนต์รถยนต์ (Bangkok Auto Salon) 

อย่างไรก็ตาม แม้จะประสบความสำเร็จในสายงานแปล แต่อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับรถยนต์ ก็เริ่มใกล้ถึงจุดอิ่มตัวในเวลาต่อมา..


จากแปลหนังสือรถสู่ล่ามฟุตบอล

ตอนนั้นสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งแน่นอนคือทีมในเครือของ สยามสปอร์ต บริษัทแม่ของทิซัง เริ่มนำนักเตะญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทีม เพื่อสู้ศึกไทยลีก และแน่นอน เมื่อบริษัทต้องหาคนมารับผิดชอบงานนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวเขา

“ตอนนั้นคนแรกเลยคือ นาโออากิ อาโอยามะ ครับ”
นาโออากิ อาโอยามะ (คนขวามือ)

แม้งานหลักของทิซังจะอยู่ฝั่งรถยนต์ แต่ก็ทำให้เขาได้มีโอกาสเริ่มขยับเข้ามาในสายฟุตบอลมากขึ้น ช่วงนั้นงานอีเวนต์และโปรเจกต์ใหม่ต่างๆ ก็ยังมีให้เขาทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเป็นคนที่เจ้านายให้อะไรมาทำก็รับไว้หมด จนบางทีก็โดนเพื่อนๆแซวว่า

“จะขยันอะไรนักหนา?”

ตอนแรกบริษัทก็ยังให้ทิซังทำงานแบบสลับโหมดไปมา เข้าๆ ออกๆ ยังไม่มีอะไรแน่นอนมาก เจ้านายก็ให้ไปช่วยทำนู่นทำนี่หลายอย่าง เหมือนกับว่า "อยากให้ลอง" มากกว่า ส่วนสโมสรแค่ขอให้คอยช่วยประสานกับนักเตะบ้าง 

แม้บทบาทจะยังไม่ชัดเจน แต่เขาก็เริ่มซึมซับภาษาของเกมฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยความที่เป็นคนชอบดูฟุตบอลอยู่แล้ว จึงทำให้พอเข้าใจรูปแบบเกมได้ไม่ยาก วงการล่ามฟุตบอลในตอนนั้น ยังมีคนทำไม่มาก น่าจะราวๆ แค่ 3 คน และจากที่แค่ไปช่วย พอรู้ตัวอีกที เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก “เขาอยู่กับงานตรงนี้มา 3 ปีแล้ว” 

“ตอนทำงานแปลหนังสือรถยนต์ศัพท์เฉพาะแปลกๆ เรารู้หมดแล้วไม่ต้องเปิดดิกชันนารีอีกต่อไป แต่ศัพท์ฟุตบอลเราต้องเริ่มใหม่หมด แต่พออยู่ไปเรื่อย ๆ เราเริ่มมั่นใจมากขึ้น มันต้องใช้เวลาสัก 2–3 ปี ถึงจะเริ่มฟังรู้เรื่องโดยไม่ติดขัด”

ญี่ปุ่นกลายเป็นบ้านหลังที่สองของผมไปแล้ว

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไปญี่ปุ่นเพื่อท่องเที่ยว แต่สำหรับทิซัง ประเทศญี่ปุ่นกลับกลายเป็น "บ้านหลังที่สอง" ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อเขาต้องเดินทางตามไปเป็นล่ามให้กับ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักเตะทีมชาติไทย ที่ย้ายจากทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด เข้าร่วมทีม คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในศึกเจลีกของญี่ปุ่น

“แล้วมันก็กลายเป็นว่า...ผมเป็นคนไทยคนแรกเลยนะ ที่ได้ทำงานล่ามนักฟุตบอลแบบนี้ในญี่ปุ่น”
ทิซัง กับชนาธิป สงกระสินธ์ ในงานประกาศรางวัลของเจลีก

สิ่งที่เขาทำอยู่ ไม่ใช่แค่การเป็นล่ามแปลภาษาธรรมดา แต่มันคือการเป็น "ตัวกลาง" ที่เชื่อมโยงความเข้าใจในเชิงลูกหนังของสองประเทศ ผ่านภาษาญี่ปุ่นในสนามฟุตบอล ซึ่งแน่นอนว่าการสื่อสารให้ถูกต้องที่สุดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เพราะญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่ “ภาษาญี่ปุ่น” แต่ยังเต็มไปด้วยภาษาถิ่นมากมาย และสำเนียงที่หลากหลายตามภูมิภาค บางคนพูดเร็ว บางคนพูดช้า หรือสำเนียงท้องถิ่นที่จับใจความได้ยาก ก็มีให้ต้องแกะกันจนปวดหัว

“ตอนที่ไปก็แบบ...ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ คิดว่าก็น่าจะโอเคเหมือนตอนดูแลอาโยยามะที่ไทยแหละ”

แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ไปไกลกว่านั้นมาก…วันแรกทันทีที่ไปถึงสโมสร เจ้าหน้าที่ทีมก็ถามว่า “ทำไมไม่เปลี่ยนชุด?” เขาก็งง “ชุดอะไร?” สุดท้ายจึงได้รู้ว่า ถึงจะเป็นล่าม ก็ต้องลงไปในสนามซ้อม ต้องซ้อมด้วยกัน เลยต้องเปลี่ยนเสื้อ สวมสตั๊ด แล้วลงสนามเลยในวันแรกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

ทิซัง คนยืนกอดอกและใส่หมวก
“ช่วงแรกนั้นน้ำหนักผมเกือบ 90 กิโล ต้องเริ่มวิ่ง เริ่มดูแลตัวเอง วิ่งเพราะไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ฟิตก็อยู่ไม่ได้”

แล้วตอนที่ไปตอนนั้น ทิซังยังไม่มีวีซ่าทำงาน จึงต้องอาศัยเข้าประเทศแบบวีซ่าท่องเที่ยว แล้วอยู่จนครบ 15 วันก็ต้องรีบออก เพื่อบินข้ามไปประเทศเกาหลี 1 คืน ก่อนกลับเข้าญี่ปุ่นอีกรอบ เพื่อรีเซตวีซ่าใหม่

“โคตรจะฉุกละหุกเลยครับ ไม่มีอะไรแน่นอนเลย เรามือใหม่ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะฝั่งญี่ปุ่นเองก็ยังไม่มั่นใจ ว่าจะใช้เราทำอะไร? จะจ้างระยะยาวแค่ไหน? ทุกอย่างยังลอยๆ เขาไม่เคยมีล่ามแบบผมมาก่อน คนไทยที่อยู่ที่นั่นก็มีครอบครัว มีงานประจำหมด ไม่มีใครสามารถมาทำอะไรแบบนี้ได้”

สุดท้าย ด้วยความขยัน ทุ่มเท และความพร้อมที่จะ “ลุย” ทุกอย่าง ทิซังจึงเอาชนะใจสโมสรได้สำเร็จ เพราะทางทีมเขาไม่ได้ต้องการระบบอะไรซับซ้อน เขาแค่ต้องการคนที่เดินหน้าทำงานให้เขาได้ และเป็นสะพานเชื่อมข่าวสารไปสู่แฟนบอลชาวไทย”

“ผมโดนหักภาษี 40% เลยครับ ตอนนั้นคิดเลยว่าเงินเดือนหายไปไหนหมด? จนต้องขอคุยกับสโมสรว่า ใช้ระบบเดียวกับนักเตะต่างชาติได้หรือไม่ ภาษีจะได้ลดลงมาบ้าง เพราะผมก็ถือว่าเป็นต่างชาติเหมือนกันนะครับ”

ในญี่ปุ่น...ต้องอยู่ให้เป็น

การทำงานในต่างแดน อาจดูน่าตื่นเต้นสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับทิซังแล้ว ชีวิตในญี่ปุ่นคือสนามซ้อมอีกแบบ ที่ไม่ได้มีแค่เกมฟุตบอลให้เรียนรู้ แต่ยังมีบททดสอบในทุกจังหวะของชีวิต ตั้งแต่ “เรื่องพื้นฐาน” อย่างการกินอยู่

แม้เมืองใหญ่อย่าง ซัปโปโร อาจมีทุกอย่างครบ แต่สิ่งที่ขาดหายไปกลับเป็น “รสชาติที่คุ้นเคย” อาหารไทย อาหารที่เคยกินประจำ หรือแม้แต่ของทอดธรรมดา ๆ กลับกลายเป็นของหายาก 

ชีวิตในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยความเข้มงวด ไม่ใช่แค่เรื่องการซ้อมหรือระเบียบภายในทีม แต่ยังรวมไปถึง “การดูแลตัวเอง” ในทุกแง่มุมนอกสนาม

“ผมนับวันได้เลยว่า ได้กินของที่ตัวเองอยากกินกี่มื้อ ของทอดแทบไม่มีเลย ทุกอย่างเฮลตี้สุดๆ ถ้าไม่เตรียมมาเอง ก็ไม่มีใครเตรียมให้ เพราะสโมสรเขาไม่ได้คิดเผื่อเรื่องอาหารของคนต่างชาติ”

อาชีพ “ล่ามฟุตบอล” ของทิซัง เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในระยะหลัง มีทั้งคนมาขอสัมภาษณ์ มาขอดูงาน หรือแม้แต่แอบสังเกตการณ์การทำงานจริงข้างสนาม หลายคนที่เคยเข้ามาคุยก็บอกว่าอยากลองทำบ้าง แต่สุดท้ายก็ถอย เพราะพอเห็นของจริงแล้วถึงกับพูดว่า

โชคดีนะพี่ ผมคงไม่ไหว
รับงานกิจกรรมต่างๆ

งานล่ามของนักฟุตบอล อาจไม่ได้ใช้แค่ทักษะภาษาเพียงอย่างเดียว ที่จริงแล้วภาษาญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องเก่งขั้นเทพ ขอแค่ฟังรู้เรื่องและถ่ายทอดให้เข้าใจในจังหวะเกมก็พอ

แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “ความฟิต”

เพราะนี่คืองานที่ทั้งหนักและเหนื่อยมาก โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ทุกอย่างยังค่อนข้างสะเปะสะปะ ไม่มีแบบแผนหรือคู่มือชัดเจน ระบบยังไม่ถูกจัดระเบียบดีนัก เพราะในไทยก็ยังไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน 

แม้แต่เรื่องวีซ่า หรือเรื่องเอกสารต่างๆ ก็ต้องลองผิดลองถูกเอาเองทั้งนั้น แต่ข้อดีของความลำบากทั้งหมดนี้ คือมันทำให้ตัวของทิซังได้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง จนวันนี้พอมีรุ่นน้องจะตามมา ก็สามารถให้คำแนะนำได้หมดว่า จะต้องเจออะไรบ้าง ควรเตรียมตัวยังไง

“เพราะผมผ่านมันมาหมดแล้ว..ในยุคแรกๆ แทบไม่ได้อะไรเลย โดนหักภาษีจนเงินไม่เหลือด้วยซ้ำ”
รูปหมู่กับตองกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (คนซ้ายมือสุด)

ชีวิตในญี่ปุ่น ตารางชีวิตเป๊ะมาก นักเตะญี่ปุ่นไม่ซ้อมกันตอนเย็น เพราะเขาเริ่มซ้อมแต่เช้า ทุกอย่างจบก่อนเวลาเย็นทั้งหมด ไม่เหมือนในไทยที่ต้องซ้อมตอนเย็น เพราะอากาศที่ร้อน

  • ตื่นประมาณ 8 โมงเช้า
  • ไปถึงสนามประมาณ 10 โมง
  • ทำงานจนถึงเที่ยง หรือบ่ายโมง
  • จากนั้นบ่ายสองก็จัดการเอกสาร
  • บ่ายสามกลับบ้าน

งานสายฟุตบอลในญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ “เตะบอล” แล้วจบ แต่ต้องบริหารตัวเองทุกอย่าง ต้องรู้จักจัดการเวลา จัดการชีวิตด้วย งานที่นั่นแม้จะดูเป็นระเบียบและมั่นคง แต่ความจริงคือ “เหนื่อยทุกวัน” โดยเฉพาะในฤดูกาลแข่งขัน ที่ตารางแข่งแน่นมาก  พุธ–เสาร์–พุธ–เสาร์ บางสัปดาห์แทบไม่ได้หยุดพักเลย 

วันว่าง? ก็ยังไม่ว่าง เพราะบางทีนักเตะเจ็บ ก็ต้องพาไปโรงพยาบาล หรือต้องจัดการเรื่อง MRI ดูแลเอกสารต่างๆให้ครบ ตอนแรกหลายๆคนเข้าใจผิด คิดว่าการเป็นล่ามหรือผู้ดูแลนักเตะนั้นสบาย แต่จริงๆ แล้วมันต้องใส่ใจมาก และเป็นงานที่กินเวลาเกือบทั้งวันทั้งคืน

“ทีมซัปโปโรเป็นทีมที่มีตารางแข่งขันหนักที่สุด เพราะตั้งอยู่ไกลจากเมืองอื่น เวลามีแมตช์เยือนต้องออกนอกบ้านเป็นเดือนๆ มีช่วงนึงนอนโรงแรม 3 เดือนรวด ตั้งแต่เดือนมกราคมเลย”
คอนซาโดเล่ ซัปโปโร อยู่ทางด้านบนสุดของแผนที่

ท่ามกลางระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตอันเข้มงวดของคนญี่ปุ่น ทำให้ตัวเขามีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในบางเรื่อง จึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยเล็กๆ ว่า

“ทำไมโค้ชไทยหลายคนถึงอ้วนกันจัง? ผมเคยอยู่ไทย แล้วก็ไปญี่ปุ่น พอไปอยู่ที่โน่น ผมสังเกตว่าทำไมโค้ชที่นั่นถึงดูดี ดูมีพลัง แล้วก็น่าเชื่อถือ”

สิ่งที่กระทบใจเขาที่สุด คือคำพูดของ คุณเนวิน ชิดชอบ ที่เคยบอกว่า ทุกคนในสโมสรต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่น เป็นทีมงานหรือเป็นโค้ช ทุกคนคือ VR (Visual Role Model) ที่เด็กๆต้องเห็น

เขาจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสิ่งเล็กๆ ลดเหล้า เปลี่ยนจากเบียร์มาเป็นเหล้าขาว กินคนเดียวเพื่อไม่ให้บรรยากาศพาไป และที่สำคัญคือ เริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง

“ตอนนั้นผมน้ำหนัก 90 กว่าโล ก็เลยเริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ย แล้วเราจะเป็นแบบอย่างยังไง ถ้ายังดูแลตัวเองไม่ได้? ช่วงแรกนี่เหมือนจะตายเลยครับ 6 เดือนแรกแทบหมดแรง แต่ก็ฝืนไปเรื่อย ๆ จนน้ำหนักลดลงมาจนเหลือประมาณ 60 กว่าโล”

เรื่องต่อมาคือสภาพอากาศ ในช่วงฤดูหนาวของซัปโปโร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการใช้ชีวิตอยู่ แม้แสงแดดจะสวย แต่ความเหน็บหนาวกลับกัดลึกจนถึงกระดูก ตารางซ้อมของสโมสรในสนามเริ่มซ้อมกัน 10 โมง แต่เขาต้องมาถึงตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพื่อเตรียมการบางอย่างร่วมกับทีมงานคนอื่นๆของสโมสร 

“มาไถหิมะออกจากสนามครับ เรียงแถวหน้ากระดานกัน 20 คนเหมือนไถนาเลย”

ทิซังเล่าต่อว่า อยู่ญี่ปุ่นในบางเมืองยิ่งอยู่นาน...เหมือนอยู่คนเดียวทั้งโลก

ชีวิตนอกสนามมันเงียบงันมาก เงียบจนน่ากลัว

ถ้าไม่มีแมตช์กลางสัปดาห์ ส่วนใหญ่จะได้หยุดวันจันทร์ แต่ถ้ามี ก็จะทำงานยาวทั้งสัปดาห์เลย แม้จะว่างช่วงเย็น แต่เขาก็ไม่อยากออกไปไหนแล้ว เพราะรู้ว่าเดี๋ยวอีกไม่นานวันรุ่งขึ้นก็มาถึง ก็ต้องเริ่มทำงานแต่เช้า

“ตลอดทั้งปี ผมนับได้เลยนะว่าออกไปเที่ยวจริง ๆ แค่ 2 วัน ชีวิตที่ดูเหมือนจะน่าตื่นเต้น กลับกลายเป็นความเงียบที่กัดกินอยู่ข้างใน หลายคนมองว่าการทำงานในต่างแดนคือโอกาสได้เที่ยว ได้ใช้ชีวิต”
“แต่ความจริงคือ...หลายคน “เก็บกด” จนพอกลับไทยถึงระเบิดออกมา บางคนกลับไทยแล้วเที่ยวทุกวัน เพราะเหมือนได้หลุดออกมาจากการโดนกักขัง” 

ปีทองของเจ ชนาธิป – และชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างเขาเสมอ

ชนาธิป ระเบิดฟอร์มในเจลีก ประเทศญี่ปุ่น

ช่วงปี 2018 คือจังหวะเปลี่ยนผ่านของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น ที่แม้จะดูซบเซาลงในแง่ของกระแสในเอเชีย แต่มันกลับเป็นช่วงที่ ทิซัง กำลังยืนอยู่ตรงจุดพีคของเส้นทางอาชีพ เขาเชื่อในสายตาของตัวเองว่ามองออก ว่าใครกำลังจะมา ใครจะไปได้ไกล และหนึ่งในคนที่เขามั่นใจที่สุดคือ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์

“ผมนั่งดูแล้วรู้เลยว่า... เจมันทำได้แน่ มันชัดเจนมาก”

แม้จะใช้เวลาอยู่บ้างกับการปรับตัวในช่วงต้น แต่ไม่นาน เจ ชนาธิป ก็ระเบิดฟอร์มสุดยอด ตามที่ทิซัง ได้เคยคาดการณ์เอาไว้ กระแสของเจ ฟีเวอร์มากในญี่ปุ่น กระแสส่งถึงแบรนด์สินค้าทั้งไทยและญี่ปุ่น

ทุกๆอย่าง “บูม” ขึ้นมาในทันที มีคนไทยจำนวนไม่น้อยบินตามไปดู เจ ถึงญี่ปุ่น (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย 😄) มีคนไทยที่ทำงานในญี่ปุ่นจำนวนมากที่กลายมาเป็นแฟนคลับ บางคนได้ทำงานวงการฟุตบอลจากกระแสนี้โดยตรง ขนาดคนที่เพิ่งเริ่มงานได้ไม่กี่วันยังได้ค่าจ้างหลักหมื่น

“ญี่ปุ่นเขาบอกว่าคนไทยไปเที่ยวซัปโปโรเพราะ ‘เจ’ คนเดียวเลยก็ว่าได้”

ทิซังไม่ได้ทำงานกับเจแค่ในสนาม แต่ยังเป็นคนที่มีโอกาสดูแลหลายๆอย่างรอบตัวให้กับเจ  ตั้งแต่งานอีเวนต์ คุยกับสปอนเซอร์ ไปจนถึงชีวิตส่วนตัว

เขาทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างเจกับสโมสร, ครอบครัว, ผู้จัดงาน, ผู้สนับสนุน, แฟนคลับ และโลกภายนอก ในช่วงที่เจยังไม่มีผู้จัดการส่วนตัว ก็ได้ทิซังที่อยู่ข้างๆ เขา 

ทิซัง กับ เจ ชนาธิป สงกระสินธ์
ช่วงที่อยู่กับเจ คือช่วงที่ดีที่สุดเลยครับ
“เราเจอกันบ่อย อยู่ด้วยกันที่ออฟฟิศ บางวันก็นอนห้องเดียวกัน กินข้าว เล่นเกม ทำทุกอย่างด้วยกัน โชคดีที่ผมเคยทำงานหลายอย่างมาก่อน เคยบริหาร เคยจัดอีเวนต์ เคยคิดคอนเทนต์ ผมช่วยกลั่นกรอง ช่วยขายคาแรคเตอร์เจให้คนเข้าใจง่ายที่สุด”
“เราเดินหาสปอนเซอร์ด้วยกัน ถ่ายคลิปกันเอง ทำงานกันเองแบบบ้านๆ เลย เจ เคยพูดว่า ตั้งแต่มาอยู่ญี่ปุ่น เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิตก็คือผมกับเจน (เพื่อนอีกคน) และผมก็รักมันเหมือนน้องจริงๆ”

ช่วงเวลาที่ได้ร่วมงานกับ "เจ" ชนาธิป ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทิซังรู้สึกสนุกและเข้มข้น โดยเฉพาะในปี 2017 ที่ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนขึ้นไปถึงอันดับที่ 4 ของเจลีก แม้ปีถัดมาปี 2018 จะไม่ได้หวือหวาเท่าเดิม แต่เจก็ยังเต็มไปด้วยพลังและเป็นความหวังของทีม

“ถือว่าเป็นช่วงที่ผมได้เห็นพัฒนาการของทีม และตัวนักเตะแบบใกล้ชิดจริง ๆ”

และแล้วจุดเปลี่ยนก็มาถึงเมื่อ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ย้ายทีมจาก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ไปยังทีมแชมป์เก่าอย่าง คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ แต่ตัวเขาตัดสินใจ ไม่ได้ตามไปด้วย

ตอนนั้นความสามารถด้านภาษาญี่ปุ่นของเจพัฒนาไปมากแล้วครับ เขาไม่จำเป็นต้องมีล่ามตลอดเหมือนก่อนแล้ว
“เจพยายามปรับตัว และอยากเป็นเพื่อนกับทุกคนในทีม”

ทิซังเข้าใจดีว่าบางจังหวะของชีวิตก็ต้องปล่อยให้คนที่เราผูกพัน "เติบโตต่อด้วยตัวเอง" เขาจึงเลือกอยู่ต่อกับทีมซัปโปโร ทำงานเบื้องหลังในหลายบทบาทให้กับสโมสร

“มันอาจจะไม่หวือหวาเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ยังทำอยู่ ยังอยู่กับสิ่งที่ผมรัก”

เช็ค สุภโชค สารชาติ 

การอยู่ซัปโปโรต่อของทิซัง ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้กลับมาทำหน้าที่ล่ามอีกครั้ง คราวนี้ถึงคิวของ นักเตะทีมชาติไทยอีกคนอย่าง เจ้าเช็ค สุภโชค สารชาติ 

เขาเล่าถึงรายละเอียดที่มากขึ้นของงาน เช่น สำหรับบางคน อาจมองว่าหน้าที่ของล่าม อาจจบลงแค่เสียงนกหวีดหมดเวลา แต่สำหรับเขามันยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้น เขาไม่ได้กลับไปพักผ่อนทันที แต่จะนั่งดูเกมย้อนหลังในทุกนัด เพราะบางมุมในเกม เรามองไม่เห็นจากข้างสนาม แต่จากภาพช้าทำให้เรามองเห็นบางจังหวะที่สำคัญ

“ถ้ามองเห็นปัญหา เราต้องกลับมาคุยกับน้องว่า ตอนนั้นคิดอะไรอยู่? มันพอจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีกมั้ย? ตอนนั้นมีช้อยส์อื่นมั้ย? เราคุยกันแบบพี่น้องเลย เป็นพี่ชายที่น้องๆ คุยด้วยได้”

แม้อายุจะห่างกันหลายปี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้มีช่องว่าง ในทางกลับกัน มันคือบทสนทนาแบบเปิดใจ ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ และการ “เติบโตไปด้วยกัน” และในบางครั้งคำตอบจากน้อง ก็ทำให้เขายิ้มได้

“น้องมันก็บอกว่า ‘ลืมพี่ ลืมเลยจริงๆ’ เพราะเกมมันเร็วมาก ยังไม่ทันได้คิดอะไรเยอะ แต่ก็พูดตรง ๆ กับผม”

วัฒนธรรมลูกหนังญี่ปุ่น: Senpai-Kouhai" (先輩–後輩) 

ช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่น ทำให้ทิซังได้เข้าใจว่า "ฟุตบอลญี่ปุ่น" เป็นมากกว่าแค่เกมในสนาม

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกับสโมสรซัปโปโร แม้จะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นแบบเต็มร้อยซะทีเดียว แต่เขาก็พยายามเรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานร่วมกับนักเตะหลากหลายเชื้อชาติที่อยู่ภายในทีม

การสื่อสารจึงไม่ใช่แค่ “เรื่องของภาษา” เท่านั้น แต่มันรวมไปถึง “พฤติกรรม” และ “วัฒนธรรมร่วม” ที่ทุกคนต้องเข้าใจกันและกัน

“แม้จะเป็นทีมที่มีนักเตะต่างชาติเยอะ แต่การฝึกซ้อมก็ยังเต็มไปด้วยความเป็นระเบียบวินัยสไตล์ญี่ปุ่น”

วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันในทีม สะท้อนออกมาผ่านกิจกรรมอย่างการทานข้าวร่วมกันหรือสังสรรค์ภายหลังการฝึกซ้อม

ทิซังยอมรับว่า ตอนแรกบอกตรงๆ ก็ไม่อยากไป เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน แต่พอไปบ่อย ๆ เข้า ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมรุ่นพี่ถึงอยากให้ไป เพราะมันคือวัฒนธรรมหนึ่งของทีม  

ชีวิตนอกสนามกับทีมสตาฟฟ์

ในญี่ปุ่น ระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ​Senpai-Kouhai" (先輩–後輩) ถูกฝังรากลึกในทุกวงการ รวมถึงฟุตบอลด้วย เพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้น เข้าใจกัน แม้บางทีจะคุยกันไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม

“รุ่นพี่ไม่ใช่แค่เก่งในสนามอย่างเดียว แต่เขาดูแลรุ่นน้องแบบจริงจัง พาไปกินข้าว ชวนคุย ให้กำลังใจ คือแม้จะไม่ใช่เรื่องฟุตบอล ก็ยังมีน้ำใจแบบพี่น้องตลอด การสร้างสัมพันธ์นอกสนามนั้นสำคัญไม่แพ้การซ้อมในสนาม เพราะเวลาอยู่ในสนาม ถ้าไม่รู้จักกันเลย มันเล่นยาก”

และหนึ่งในความประทับใจของทิซัง คือช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นั่นกับเจ เป็นช่วงเดียวกับที่ทีมมีนักเตะชื่อดังที่ผ่านประสบการณ์ค้าแข้งมากมายในยุโรปอย่าง "ชินจิ โอโนะ" เป็นพี่ใหญ่ นี่คือนักเตะระดับตำนาน ที่อาสามาช่วยประคองและถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่นักเตะรุ่นน้อง การมีอยู่ของเขา แม้เพียงนั่งอยู่ข้างสนามก็สามารถสร้างขวัญกำลังใจให้กับทีม

“โอโนะนี่ ถ้าเขาชวนกินข้าว แล้วไม่ยอมไปด้วยกัน นี่คือเรื่องใหญ่มากเลยนะครับ”

เมื่อความกดดันไม่ใช่แค่ในสนาม – บทบาทของล่าม และการเข้าใจมนุษย์

บทบาทการเป็นล่ามให้กับเจและเช็ค ในทีมคอนซาโดเล่ ซัปโปโร เขาต้องทำงานหลายอย่างด้วยตนเองเพียงคนเดียว และยังช่วยงานทุกอย่างของสโมสรตั้งแต่ติดต่อ สื่อสาร ซ้อมบอล ยันขับรถส่งนักเตะ

แปลสัมภาษณ์เช็คสุภโชค สารชาติ

เมื่อเวลาผ่านไป เขากลายเป็น “คนกลาง” ที่คอยแนะนำล่ามรุ่นใหม่ให้กับนักเตะไทยอีกหลายคน ที่ทยอยเดินทางไปค้าแข้งบนเวทีเจลีกในภายหลัง อาทิ "อุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน หรือ “บุ๊ค” เอกนิษฐ์ ปัญญา

“ในญี่ปุ่นน่าจะมีล่ามคนไทยที่ทำงานฟุตบอลอยู่แค่ 4–5 คนเท่านั้น เพราะคนที่เข้าใจฟุตบอลญี่ปุ่นจริงๆ มันไม่ได้มีเยอะ ต้องค่อยๆ สร้างขึ้นมา ทุกคนรู้จักกันหมด กลายเป็นคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ที่มีทั้งการช่วยเหลือ แบ่งปัน และเตือนสติ ”
“มีการตั้ง กรุ๊ปแชทล่าม เอาไว้ช่วยเหลือกันเอง ทั้งตอบคำถาม พูดคุย ไปจนถึงปลอบใจคนที่คิดจะถอยหลังจากวงการ”

หลายคนอาจคิดว่าหน้าที่ของล่ามเป็นเพียงผู้ช่วยโค้ช คือแค่ “แปลคำพูด” หรือ “สื่อสารเรื่องแท็กติก” ให้เข้าใจตรงกันระหว่างโค้ชและนักเตะ แต่สำหรับทิซังแล้ว บทบาทของเขาไปไกลกว่านั้นมาก

“มีคนถามผมบ่อยมากครับ ว่าจะไปเรียนโค้ชมั้ย เพราะตอนอยู่ญี่ปุ่น ผมทำหน้าที่สื่อสารกับทีมทั้งในและนอกสนามเยอะมาก แต่ผมก็บอกตรงๆ ว่าผมไม่มีไลเซนส์นะ… แต่ความเข้าใจในเกม บางทีมันก็อาจจะมากกว่าคนที่สอบผ่านมาด้วยซ้ำ เพราะเราอยู่กับมันทุกวัน
บางทีทีมงานก็ถามว่า จะส่งคนนี้ลงดีไหม? จะไหวไหม? ถ้าลงไปแล้วจะเล่นได้กี่นาที?”

มันไม่ใช่แค่เรื่องแท็กติก แต่มันคือเรื่องของความเป็นมนุษย์ เรื่องของชีวิตในสนามของคนคนหนึ่งที่ต้องแบกรับทั้งความหวัง และความกลัวไปพร้อมกัน เขาเล่าว่า ตัวเองไม่ใช่คนที่พูดปลอบใจเป็นคำหวาน แต่เป็นคนที่ "ฟัง" และ "เข้าใจ" ยกตัวอย่างวันหนึ่งมีนักเตะรุ่นน้องมาพูดกับเขาแบบตรงไปตรงมาว่า...

“พี่ เครียดจนไม่ไหวแล้วว่ะ... ผมคิดว่าผมจะไปจริง ๆ นะ” 

คำพูดแบบนี้ ด้วยประสบการณ์ ทิซังรู้ได้ทันทีว่า ความเครียดนั้นไม่ใช่แค่ “เรื่องฟอร์มในสนามแล้ว” แต่มันลามไปถึง “จิตใจของนักเตะ” จนเขาต้องรีบหาทางพูดคุย ให้กำลังใจ และเตือนสติ ว่าสิ่งที่อันตรายไม่ใช่แค่การบาดเจ็บ หรือความพ่ายแพ้ในสนาม แต่คือ “ความรู้สึกว่าเราไม่มีค่า” และ “ไม่เหลือทางไป” ซึ่งเป็นสิ่งที่เงียบกว่า แต่หนักกว่า

นักเตะไทยหลายคนในบางยุคสมัย อาจยังมีความเข้าใจผิด ที่เชื่อว่าถ้า “เก่งในไทย” ก็สามารถไปต่อในระดับโลกได้ทันที 

“ผมบอกเขาว่า บนโลกนี้มีคนเก่งกว่ามึงอีกเยอะนะ... แต่พูดแบบนี้ไม่ใช่เพื่อให้เขายอมแพ้นะครับ แต่เพื่อให้เขารู้ว่าเขาไม่ต้องแบกโลกไว้คนเดียว เพราะจริง ๆ แล้ว โลกจริงมันโหดกว่านั้นเยอะ”
“ไอ้ที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ในไทย บางทีมันยังไปไม่รอดเลย คนไทยเก่งก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะไปได้หมด”

และที่สำคัญที่สุด...ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ไม่ได้รับโอกาสในทีม จะหมายความว่า “ไม่เก่ง” เพราะบางทีเขาก็แค่ไม่เหมาะกับระบบของทีมนั้นเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีของ ประสบการณ์ทำงานในญี่ปุ่นทำให้ทิซังไม่ได้เรียนรู้แค่เรื่องของฟุตบอล แต่มันสอนให้เขาเข้าใจ “จังหวะชีวิตของคน” ในแต่ละช่วงขณะอีกด้วย 

“ชีวิตล่าม ไม่ได้แค่แปลภาษา...แต่ต้องอ่านใจคนด้วย”

สำหรับประโยคนี้ทิซัง อธิบายว่า สำหรับคนทั่วไป “ล่าม” อาจเป็นแค่คนแปลภาษาระหว่างสองฝ่าย แต่ในโลกของฟุตบอล โดยเฉพาะในสนามแข่งขันที่เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม โกลาหล และอารมณ์พุ่งพ่าน ล่ามจึงไม่ใช่แค่สะพานของภาษา แต่คือคนกลางของอารมณ์

“บางครั้งโค้ชด่าแรงมาก ถ้าแปลตรงๆ นักเตะคือจิตตกแน่ๆ ผมเลยต้องแปลให้ซอฟต์ลงนิดหน่อยแต่ยังสื่อใจความครบถ้วน มันไม่ใช่แค่การถ่ายทอดคำ แต่เป็นการ “ส่งผ่านเจตนา” ถ้าแปลแรงไป นักเตะเสียขวัญ ถ้าแปลเบาไป โค้ชอาจรู้สึกว่าข้อความไปไม่ถึง”
ทั้งหมดนี้...ล่ามต้องบาลานซ์ความเข้าใจของทั้งสองฝั่ง

ยิ่งในจังหวะของเกมที่รวดเร็ว เขายิ่งรู้ว่า “คำพูด” จะต้องสั้นและชัดที่สุด แม้ว่านักเตะจะเข้าใจคำภาษาญี่ปุ่นแล้ว แต่การแปลให้เข้ากับสถานการณ์จริงในสนาม ก็ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ในหลายๆ ครั้ง ถ้าแปลตรงตัวเกินไป อาจทำให้นักเตะในสนาม “งง” หรือสื่อสารไม่ทัน โดยเฉพาะในจังหวะเกมเร็ว คำที่ใช้ต้องกระชับ ชัด แล้วก็ต้องเข้าใจตรงกัน บางครั้งประโยคยาวมาก ก็ต้องตัดให้สั้นลง เพราะถ้าพูดยาวไปในสนาม เด็กงงแน่นอน 

คำบางคำเป็น “ทับศัพท์” เช่น Pass หรือ Press ที่กลายเป็นคำกลางที่นักเตะทุกชาติสามารถเข้าใจตรงกันได้ทันที

ดังนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่คือ ‘การเข้าใจกันในสนาม’ ต่างหากที่สำคัญ บทบาทของล่ามในสนามฟุตบอลจึงไม่ใช่แค่คนแปล แต่คือตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่าง “ความคิดของโค้ช” และ “การทำตามของนักเตะ” ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

“ผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านภาษาขนาดนั้นนะ แต่พออยู่ญี่ปุ่น มันทำให้ผมเข้าใจว่า บางอย่างมันไม่สามารถแปลตรงตัวได้จริงๆ ศัพท์ฟุตบอลญี่ปุ่นบางคำไม่มีในภาษาไทยเลย มันไม่มีคำเทียบ ก็ต้องพยายามหาวิธีสื่อสารใหม่”

เมื่อถูกถามว่า ในยุคที่เทคโนโลยี AI แปลได้ทุกคำภายในไม่กี่วินาที...แล้วล่ามยังจำเป็นอยู่ไหม เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์เครื่องเดียวก็แปลได้หมดแล้ว บางคนอาจคิดว่าในอนาคตล่ามอาจจะไม่จำเป็น? แต่ทิซัง ไม่คิดแบบนั้นซะทีเดียว 

เขามองว่า อนาคตของล่ามยังอยู่ในมือเด็กรุ่นใหม่ คนที่อยากเป็นล่าม ต้องไม่ใช่แค่เก่งภาษา แต่ต้องเข้าใจคนด้วย ต้องรู้ว่าจะส่งสารยังไงให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจ โดยไม่ต้องพูดทุกคำตามต้นฉบับ ต้องมีหัวใจ และเข้าใจบทบาท ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง

 “แน่นอนเทคโนโลยีทำได้หลายอย่างมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ AI ทำไม่ได้ โดยเฉพาะในโลกของฟุตบอล AI มันแปลได้นะ แต่ไม่สามารถเข้าใจน้ำเสียง จังหวะ และความรู้สึกของมนุษย์ได้หมด โดยเฉพาะในสนาม ที่เสียงดัง โกลาหล เราต้องเดาท่าทาง สีหน้า และคำพูดที่ไม่ได้พูดออกมา ซึ่ง AI ยังทำแบบนั้นไม่ได้”

ได้เวลากลับบ้านและการเดินทางบทใหม่?

เมื่อฤดูกาล 2024 สิ้นสุดลง ทีมคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ตกชั้นจาก J1 League มาเล่นใน J2 อย่างเป็นทางการ หลังจบอันดับ 19 จาก 20 ทีม (ชนะ 9 เสมอ 10 แพ้ 19 มี 37 แต้ม) มีการเปลี่ยนแปลงภายในสโมสรตามมามากมาย ทั้งการปล่อยตัวนักเตะกำลังสำคัญหลายคน เปลี่ยนแปลงทีมงานผู้ฝึกสอน และที่สำคัญยังรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารสโมสร 

ซึ่งทั้งหมดนั้น เขารู้สึกว่า ก็คงถึงเวลาสำหรับเขาแล้วเช่นกัน ทำให้ทันทีที่ฤดูกาลจบลง “ทิซัง” ทิวาพล สังขพันธ์ ตัดสินใจอำลาบทบาทการเป็นล่ามและผู้ประสานงานของสโมสร หลังอยู่มาตั้งแต่ปี 2017 และเดินทางกลับประเทศไทย

กลับมาช่วยงานทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด

หลังกลับจากญี่ปุ่น ชีวิตของเขาไม่เหมือนเดิม เรียกว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปเลยก็ว่าได้ จากช่วงอยู่ญี่ปุ่นที่เคยมีระบบ มีระเบียบ ได้ทำงานกับทีมฟุตบอลและรายการทีวี ตื่นเช้า ทำงานเต็มวัน ชีวิตมีกรอบที่ชัดเจนแต่พอกลับมาไทย ทุกอย่างก็เหมือนถูกเปลี่ยนโหมด

“ตอนนี้ตื่นบ่ายสาม กินข้าว แล้วค่อยเริ่มออกไปทำงานนู่นนี่”

แม้ชีวิตดูจะสบายขึ้น สนุกขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับความรับผิดชอบที่ไม่มีใครมากำหนดให้ ต้องดูแลตัวเองให้ดีในทุกด้าน เขาเริ่มได้เจองานหลากหลายขึ้น มีคนติดต่อเข้ามาเยอะขึ้น เพราะ “คาแรกเตอร์” และความบ้าบอลของเขา ความเป็นกันเองของเขากลายเป็นจุดเด่นที่ใครหลายคนจดจำ

“ผมไม่ได้เป็นคนที่วางแผนไกลเลยนะ เอาจริงๆ ผมแค่อยากเต็มที่กับวันนี้มากกว่า ผมอยู่ญี่ปุ่นมาได้ มันไม่ใช่เพราะบังเอิญ คนจะอยู่ตรงนั้นได้ต้องมีระเบียบพอตัว”
ทิซัง กับ ฟร้องซ์ ปรเมศย์ อาจวิไล

ทิซัง จบการสนทนาด้วยการทิ้งท้ายว่า 

“แม่ผมยังบอกว่า “ถ้าจะตื่นบ่าย 3 แบบนี้ ..กลับไปอยู่ญี่ปุ่นเถอะ!!”

สุดท้ายแล้วอาจจะเป็นความบังเอิญที่ได้ยิน หรือในอีกมุมหนึ่ง..

มันคือ โชคชะตา ที่นำพาให้ "ทิซัง" ทิวาพล สังขพันธ์ อาจจะได้กลับมายืนอยู่บนเส้นทางที่เขาถนัดและรักอีกครั้ง?

ติดตามเรื่องราวของทิซัง ได้ที่ Facebook: Tivapol Sungkapan

📸: Tivapol Sungkapun, Consadole Sapporo, Muanthong United, Shogun Soccer, J-League