The Next Coach "พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ" - คลื่นลูกใหม่ในวงการโค้ชฟุตบอลเอเชีย
วงการฟุตบอลในหลายยุคสมัย มักมีเรื่องเล่าของ “โค้ชหนุ่ม” ที่ก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จ และท้าทายความเชื่อเดิม ๆ ว่าความสำเร็จต้องมาพร้อมกับวัยวุฒิและผมสีขาวบนศีรษะ แต่ในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน “อายุ” ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่สำคัญอีกต่อไป เมื่อหลายสโมสรกล้าที่จะมอบความไว้วางใจให้กับคนหนุ่มเหล่านี้ จนกลายเป็นเทรนด์ของโค้ชฟุตบอลในปัจจุบันไปแล้ว

• โชเซ่ มูรินโญ่ ก้าวขึ้นเป็นเฮดโค้ชครั้งแรกกับ เบนฟิก้า ในปี 2000 (อายุ 37 ปี)
• อังเดร วิลาส-โบอาส ศิษย์เอกของมูรินโญ่ รับงานเฮดโค้ชครั้งแรกกับ Académica de Coimbra ในปี 2009 (อายุ 32 ปี)
• ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ ผู้สร้างตำนานโค้ชที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา ณ เวลานั้น กับการคุมทัพฮอฟเฟนไฮม์ ในปี 2016 (อายุ 28 ปี)
จากเรื่องราวที่กล่าวมา เมื่อหันกลับมามองวงการฟุตบอลบ้านเรา ก็พบว่ามีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย และหนึ่งในชื่อที่สะท้อนภาพ โค้ชรุ่นใหม่ของไทย ได้ชัดที่สุดคือเขาคนนี้
Off The Bench ขอเชิญแฟนบอลทุกท่านมาร่วมเดินทางไปด้วยกันกับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน ความมุ่งมั่น และความทะเยอทะยานที่ไม่แพ้ใคร กับชายคนนี้...
โค้ชอ๊อตโต้ – พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ / The Next Coach

กำเนิดโค้ชสายพันธุ์ใหม่
“พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ” หรือ อ๊อตโต้ เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1997 (ปัจจุบันอายุ 28 ปี) มีภูมิลำเนาเป็นคนจังหวัดกาญจนบุรี โดยที่มาของชื่อ อ๊อตโต้ นั้น มาจากชื่อของตัวละครเอก ในนวนิยาย “พันธุ์หมาบ้า” ที่เขียนโดย “ชาติ กอบจิตติ” ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเป็นนวนิยายที่คุณพ่อชื่นชอบ ถึงขนาดนำมาตั้งเป็นชื่อของลูกชาย

อ๊อตโต้ เติบโตที่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลความเจริญ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กคือ ความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลตามประสาเด็กผู้ชาย เขาเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่มีโอกาสได้ฝึกในระบบอะคาเดมีเหมือนเด็กในเมืองใหญ่ๆ ทำให้ทักษะการเล่นอาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ความมุ่งมั่นในกีฬาลูกหนังไม่เคยลดลง

เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพคงไปได้ไม่ไกลเท่าไรนัก อ๊อตโต้ จึงหันไปเลือกอีกเส้นทางหนึ่งของโลกฟุตบอลแทน นั่นคือ การเป็นโค้ช ซึ่งเขาตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ตั้งแต่มี อายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น ด้วยความตั้งใจที่อยากจะเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์เกมและศาสตร์การเป็นโค้ชฟุตบอลให้เร็วที่สุด
สิ่งที่สำคัญมากๆคือ ครอบครัว โดยเฉพาะ “คุณพ่อ” ที่ให้การสนับสนุนเต็มที่
คุณพ่อเคยถามตั้งแต่เขาอายุ 15 ปีว่า หากเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลไม่รุ่ง เขาจะทำอย่างไรต่อไป มีแผนสำรองหรือไม่ ซึ่งคำถามนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ อ๊อตโต้ เลือกวางแผนให้กับชีวิตตนเองตั้งแต่วัยรุ่น และได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางโค้ชอย่างจริงจัง ตามความฝันของตัวเอง
เริ่มต้นจาก โค้ชคีย์บอร์ด
เมื่อตั้งใจอยากจะเป็นโค้ชแล้ว อ๊อตโต้ เริ่มต้นหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่านการศึกษาและตั้งคำถาม ซึ่งยุคนั้นยังไม่มีเฟซบุ๊กหรือเพจที่ให้ความรู้ด้านฟุตบอลมากมายนักอย่างในทุกวันนี้ ในตอนนั้นเขาเข้าไปตั้งกระทู้ถามในเว็บบอร์ด ไทยแลนด์สู้สู้ (Thailandsusu) สังคมออนไลน์ลูกหนังที่ได้รับความนิยมในเวลานั้น ว่า
“ถ้าผมอยากจะเป็นโค้ชฟุตบอล ผมควรเริ่มต้นยังไง?”

ที่นั่นจึงกลายเป็น เวทีแรก ที่เขาได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ได้ขอแนวทางเกี่ยวกับแท็กติก วิธีการเล่นและการฝึกสอนอย่างจริงจัง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในเส้นทางความฝันการเป็นโค้ชของตนเองในเวลาต่อมา
เมื่ออายุได้ 18 ปี อ๊อตโต้ ได้เริ่มสมัครเข้าร่วมอบรมการเป็น โค้ช ซึ่งในสมัยนั้นยังเปิดกว้าง ไม่จำกัดอายุ และค่าใช้จ่ายยังไม่สูงมากนัก ถือเป็นหนึ่งใน “รุ่นบุกเบิก” ที่ได้เรียนไลเซนส์โค้ชตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งต่างจากในตอนนี้ที่กำหนดให้ผู้เข้าเรียนต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป และค่าใช้จ่ายในการเรียนก็สูงขึ้นมาก จากความต้องการโค้ชที่มีใบอนุญาตที่มากขึ้นในวงการฟุตบอลอาชีพของเมืองไทย (ปัจจุบันเจ้าตัวได้ผ่านการอบรมการเป็นโค้ชในระดับ A License ของ AFC)

ต่อยอดสู่สนามจริงในวงการ
ปี 2016 โค้ชอ๊อตโต้ ได้รับโอกาสทำงานในวงการฟุตบอลครั้งแรก โดยเริ่มต้นในฐานะ นักวิเคราะห์เกม และโค้ชในระดับเยาวชน กับบทบาทการเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอน สโมสรเลย ซิตี้ อาร์แอร์ไลน์ เอฟซี และต่อมาขึ้นมาเป็นผู้ฝึกสอนในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปีของสโมสรแห่งนี้
ปี 2017 ย้ายเข้ามารับงานเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมกับรับตำแหน่งเป็น "นักวิเคราะห์เกม" ให้กับทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ในทีมงานของ โค้ชดาท "ธงชัย รุ่งเรืองเลิศ"
ปี 2018 ทำงานในทีมเยาวชนของสโมสร ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด โดยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้ฝึกสอนเต็มตัวกับ สโมสรทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด (รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี) พร้อมสร้างผลไร้พ่าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ชื่อของเขาเริ่มได้รับการจับตามองจากผู้คนในวงการ

ต่อมาไม่นาน โชคชะตาก็นำพาให้เจ้าตัวหวนคืนบ้านเกิด เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาทำทีมสิงห์ระฆังทอง “กาญจนบุรี เอฟซี” (Dragon Pathumwan Kanchanaburi) ในตำแหน่งเฮดโค้ชของสโมสร พาทีมลุยศึกไทยลีก 3 โซนตะวันตก ซึ่งในภายหลังปัจจุบันสโมสรแห่งนี้กำลังโลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดของเมืองไทยในนาม "สโมสร พลังกาญจน์ เอฟซี" นั่นเอง

พ่อไล่ออกจากบ้าน?
ด้วยความที่เป็นคนเมืองกาญ แล้วยังได้มีโอกาสคุมทีมบ้านเกิดอีก ชีวิตของ โค้ชอ๊อตโต้ ในเวลานั้นถือว่าอยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขเลยทีเดียว ผลงานการคุมทีมก็กำลังไปได้ดี ได้อยู่ใกล้ครอบครัว และได้ใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย ทุกอย่างดูจะลงตัวไปหมด จนกลายเป็น “คอมฟอร์ทโซน” ที่ทำให้ตัวเขาไม่อยากจะออกไปไหนอีกแล้ว
แต่ไม่นานก็มีความท้าทายเกิดขึ้นเมื่อ สโมสรชัยนาท ฮอร์นบิล ติดต่อเข้ามาเพื่อทาบทามให้เขาไปคุมทีมใน ไทยลีก 2 ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ชัยนาท ฮอร์นบิล มีความพยายามในการดึงตัว โค้ชอ๊อตโต้ มาแล้วก่อนหน้า
ถ้านับถึงครั้งนี้ ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ด้วยเหตุผลต่างกรรมต่างวาระ ครั้งแรกปฏิเสธไป ครั้งที่สองก็ยังใจแข็งปฏิเสธไปอีกครั้ง
จนมาถึงครั้งนี้ ซึ่งเจ้าตัวเริ่มลังเล เพราะรู้สึกได้ถึงความจริงจังของสโมสร จึงได้ลองปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า นี่จะเป็น
บทสนทนาครั้งสุดท้ายของเขากับคุณพ่อในเรื่องฟุตบอล
เพราะหลังจากนั้นอีกไม่นานคุณพ่อของ โค้ชอ๊อตโต้ ก็จากไป พร้อมกับทิ้งข้อคิดเป็นครั้งสุดท้ายในเรื่องนี้ว่า
“ถ้าเขาติดต่อมาสามรอบแล้ว แสดงว่าเขาเห็นคุณค่าของเรา เขามีความตั้งใจจริง และเราควรจะกล้าออกไปได้แล้ว อย่าเอาแต่สบายอยู่กับบ้าน”
ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนกำลังถูกไล่ออกจากบ้าน แต่ความหมายจริงๆ คือต้องการให้ออกไปเติบโต
คำพูดนี้จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เขาตัดสินใจยอมรับข้อเสนอจากชัยนาท เพราะคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ที่จะสู้กับความรู้สึกของตัวเอง และยอมออกจากคอมฟอร์ทโซนเพื่อเติบโตต่อไป

โดยก่อนเซ็นสัญญา โค้ชอ๊อตโต้ยังจำได้ว่าเขาขับรถไปคุยกับผู้บริหารถึงที่บ้าน เพื่อถามตรง ๆ ว่า
“ทำไมถึงติดต่อเขาถึงสามครั้ง? และฟุตบอลที่ชัยนาทต้องการจากเขาคือแบบไหน?”
ซึ่งคำตอบที่ได้คือ
“ฟุตบอลที่ชัยนาทต้องการ ก็คือฟุตบอลในสไตล์ที่คุณทำอยู่นั่นแหละ”
นั่นจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า สโมสรและโค้ชมีวิสัยทัศน์เดียวกัน มองไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เขาตัดสินใจตอบรับข้อเสนอในที่สุด
ช่วงเวลาพิสูจน์ตัวเอง

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการสูญเสียคุณพ่อไป โค้ชอ๊อตโต้ มุ่งหน้าสู่เมืองนกใหญ่ โดยทันทีที่ไปถึง สิ่งที่เขาจำได้ชัดเจนคือนโยบายจากผู้บริหารที่ว่า
“คุณสร้างทีมได้เลย แพ้กี่นัดก็ได้ ผมอยากให้คุณวางรากฐานที่นี่ใหม่”
ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ โค้ชอ๊อตโต้ สัมผัสได้ถึง ความเชื่อใจ และ ให้พื้นที่ในการเติบโต
คำว่า บอลเปลี่ยนโค้ช หรือ ช่วงฮันนี่มูนพีเรียด ไม่มีจริง ช่วงแรกของ โค้ชอ๊อตโต้ ที่ ชัยนาท ฮอร์นบิล ทุกอย่างไม่ง่ายเลย เขาเข้ามาคุมทีมในช่วงท้ายเลกแรก และผลงานหลังผ่าน 4 เกมแรกภายใต้การคุมทัพของเขาคือ แพ้รวดทั้งหมด ทั้งในลีกและบอลถ้วย
เป็นสถานการณ์ที่ความกดดันถาโถมเข้าใส่แบบเต็ม ๆ ทั้งเสียงจากแฟนบอลที่ไม่พอใจ และโลกออนไลน์ที่วิจารณ์อย่างหนัก แต่สิ่งเดียวในตอนนั้น ที่ทำให้เขายังยืนหยัดอยู่ได้ นั่นคือ ความเชื่อมั่นของผู้บริหาร ที่ยังคงให้การหนุนหลังเขาอย่างเต็มที่

เขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด แต่ให้ผลงานในสนามเป็นคำตอบ
อีกไม่นานนักจุดเปลี่ยนก็มาถึง ชัยชนะนัดแรกของเขาเกิดขึ้น ในเกมแรกของเลกที่สอง แถมเป็นการชนะทีมใหญ่ในกลุ่มท็อปโฟร์ ที่คุมทีมมาโดย เซอร์เด็จ (จเด็จ มีลาภ) หนึ่งในกุนซือที่เขานับถืออีกด้วย
เพราะถ้าจะให้เลือกโค้ชชาวไทยที่เขาชื่นชมได้เพียงหนึ่งคน จเด็จ มีลาภ คือชื่อนั้น ส่วนหนึ่งเพราะเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของโค้ชอ๊อตโต้เอง อีกส่วนคือนี่ถือเป็นหนึ่งในกุนซือที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่า แม้จะไม่เคยเป็นนักเตะอาชีพหรือติดทีมชาติมาก่อน แต่ก็สามารถก้าวข้ามกำแพงมาสู่การเป็นโค้ชอาชีพที่ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จได้
โค้ชอ๊อตโต้ เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกันกับโค้ชต้นแบบของเขา ในทีมชาติไทย (รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี) ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีการจัดการทีมและการบริหารคนอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยหลังเกมวันนั้น ทั้งคู่เดินเข้ามาจับมือกัน และเซอร์เด็จ กล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า
“ดีใจด้วยนะ…ที่วันนี้ผมเจอคู่แข่งในสนาม ฝั่งตรงข้าม คือศิษย์รุ่นลูกของผมแล้ว”

ซึ่งคำพูดนั้นทำให้โค้ชอ๊อตโต้หัวใจพองโต เพราะมันคือสัญญาณว่า เขาได้รับการยอมรับในฐานะโค้ชอาชีพเต็มตัวแล้ว
“วันนั้นผมร้องไห้เลยครับ... มันอัดอั้นมาก ดีใจมากที่ทำได้ และที่สำคัญคือเราพิสูจน์ว่า ความเชื่อใจที่สโมสรให้มา เราตอบแทนได้จริง”
หลังจากปลดล็อคชนะเกมแรกได้สำเร็จ ผลงานของทีมหลังจากนั้นก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เก็บแต้มได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โค้ชอ๊อตโต้ พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่น่าพอใจ ถือเป็นการผ่านบททดสอบที่ยากที่สุดอีกครั้งในชีวิตโค้ชของเขา
แม้หลังจบฤดูกาลนั้น จะมีหลายทีมในไทยลีก 2 ติดต่อเข้ามา ทั้งทีมใหญ่ทีมเล็ก แต่ โค้ชอ๊อตโต้ เลือก ที่จะอยู่กับชัยนาทต่อ เพราะมองว่านี่คือการ ตอบแทนความเชื่อใจและโอกาสที่สโมสรให้เขามา ตั้งแต่วันแรกนั่นเอง
สำหรับงานสุดท้ายในเมืองไทยของเขา คือการกลับมาใช้ชีวิตในภาคตะวันตกอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่บ้านเกิดของเขาอย่างเมืองกาญแล้ว แต่เป็น “ช้างป่าห้วยขาแข้ง” สโมสรอุทัยธานี เอฟซี สโมสรน้องใหม่ที่เพิ่งขึ้นชั้นมาโลดแล่นระดับไทยลีก

เจ้าตัวได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้ช่วยโค้ชของ มิลอส โจซิค กุนซือมากความสามารถชาวเซอร์เบีย ซึ่งสำหรับแฟนบอลที่ติดตามข่าวสารฟุตบอลไทยอย่างใกล้ชิด คงจะพอจำได้ว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ มิลอส กุนซือใหญ่ประสบอุบัติเหตจนต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล และในช่วงเวลานั้นเองก็เป็น โค้ชอ๊อตโต้ นี่แหละที่ทำหน้าที่สั่งการข้างสนามแทน มิลอส ในช่วงเวลานั้น
แนวทางของโค้ชอ๊อตโต้
ในโลกฟุตบอลที่ผู้คนมักเชื่อว่าการจะเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จ ต้องเคยผ่านการเป็นนักเตะอาชีพมาก่อน แต่เส้นทางของ พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ หรือ “โค้ชอ๊อตโต้” กลับตรงกันข้าม เมื่อเขาเลือกเส้นทางสายโค้ชตั้งแต่วัยรุ่น โดยเขามองว่า ความท้าทายที่แท้จริงของการเป็นโค้ชวัยหนุ่ม ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแทคติกหรือความรู้เชิงลูกหนัง
แต่มันคือ “ศาสตร์ในการจัดการคน” ต่างหาก เพราะนักฟุตบอลแต่ละคนแตกต่างทั้งพื้นเพ ต่างภาษา ต่างความคิด และแรงจูงใจ
“ความสามารถในการจัดการคน จึงอาจจะสำคัญมากกว่าความรู้หรือแทคติก”
การได้ดูแลบริหารจัดการนักเตะที่หลากหลายตั้งแต่วัยรุ่นของเขา จึงเป็นประสบการณ์สำคัญที่ทำให้เขาเติบโตอย่างรวดเร็วในงานโค้ช ที่แม้จะต้องเผชิญความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการทำงานกับผู้เล่นที่มีอายุมากกว่าตัวเอง แต่เขาก็มองว่านั่นไม่ใช่อุปสรรคเสมอไป
สิ่งสำคัญคือ ศาสตร์การบริหารจัดการคน และ บุคลิกการทำงานที่เข้ากับคนง่ายของเขา ทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยเจอปัญหาเรื่อง “การไม่เคารพโค้ช” หรือการต่อต้านจากนักเตะมากนัก
อีกเรื่องที่สำคัญคือจากประสบการณ์ที่เขาเคยเป็น Game Analyst หรือนักวิเคราะห์เกมมาก่อน ทำให้มุมมองที่มีต่อฟุตบอลของเขา มีความครอบคลุมแทบจะทั้งระบบของงานเบื้องหลัง
ลายเซ็นฟุตบอลของ “โค้ชอ๊อตโต้”
โค้ชอ๊อตโต้ เป็นโค้ชรุ่นใหม่ ที่มีสไตล์การทำทีมอันเป็นเอกลักษณ์ ฟุตบอลเกมรุก คือเครื่องหมายการค้าของเจ้าตัว เขาต้องการให้ทีมเล่นเกมบุกที่ “เอ็นเตอร์เทน” คนดู ต้องการให้แนวรุกมีความหลากหลายในการเข้าทำและอ่านทางยาก ชอบให้ทีมคุมเกมได้ด้วยการเพรสซิ่งและการครองบอล
แม้จะมีสไตล์ที่ชัดเจน แต่ก็มี ความยืดหยุ่นอยู่ในตัว พร้อมปรับแทคติกไปตามสถานการณ์ ไม่ได้ยึดติดตายตัวกับแผนการเล่นมากจนเกินไป แต่จะศึกษาคู่แข่งก่อนแล้วนำมาออกแบบการเล่นให้สดใหม่อยู่เสมอ
แผนโปรด คือแผน 4-2-3-1
เป็นระบบที่โค้ชอ๊อตโต้ใช้บ่อยที่สุด เพราะทำให้บาลานซ์ของทีมดี หาตัวผู้เล่นได้ง่าย และปรับไปเล่นเกมรุก/เกมรับได้สมดุล โค้ชอ๊อตโต้ ถนัดหลังสี่มากกว่าหลังสาม เพราะไม่ซับซ้อนเรื่องวิงแบ็กหรือเซ็นเตอร์
จุดแข็งอีกอย่างของ โค้ชอ๊อตโต้ คือ การทำพรีเซนเทชันแท็กติกด้วยวิดีโอ ใช้ภาพและคลิปประกอบ เวลานำมาอธิบาย ทำให้นักเตะ “เข้าใจและเห็นภาพ” ได้ชัดเจน สามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ในแต่ละสถานการณ์จะต้องเล่นอย่างไร ใช้แผนไหน
นักเตะที่เจ้าตัวภาคภูมิใจ
ตลอดเส้นทางการทำงานในเมืองไทย โค้ชอ๊อตโต้ ได้ร่วมงานกับนักเตะหลายรุ่น หลายระดับ ตั้งแต่ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลท้องถิ่น ไปจนถึงนักเตะอาชีพในไทยลีก สิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดคือการได้เห็นนักเตะที่เคยร่วมงานกันเติบโต และก้าวหน้าสู่เส้นทางอาชีพที่มั่นคง โดยมี 2 คน ที่เขาอยากจะกล่าวถึง คนแรก คือ
อนุวัฒน์ มาตะราช (ชัยนาท ฮอร์นบิล / ไทยลีก 2) นี่คือผลผลิตโรงเรียนหนองโพธิ์พิทยาคม ที่เริ่มต้นจากการเจอกันในทีมชาติไทยรุ่น U16 ภายใต้การทำทีมของ โค้ชดาท" ธงชัย รุ่งเรืองเลิศ ก่อนที่ภายหลังจะถูก โค้ชอ๊อตโต้ ดึงมาเล่นในลีกอาชีพกับ สิงห์ระฆังทอง เอฟซี (เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด , ดราก้อน ปทุมวัน เอฟซี , พลังกาญจน์ เอฟซี) และกลายเป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี

ปัจจุบัน เจ้าอั้ม ถือเป็นหนึ่งในกองหลังชาวไทยที่มีผลงานโดดเด่นในไทยลีก 2 และยังมีศักยภาพที่จะก้าวไปได้ไกลกว่านี้

ส่วนอีกคนคือ วัฒนา กล่อมจิต (พลังกาญจน์ เอฟซี / ไทยลีก 1) แบ็คขวาวัย 26 ปี รายนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่ โค้ชอ๊อตโต้ ชื่นชม ด้วยส่วนสูง 174 เซนติเมตร และถนัดเท้าขวา วัฒนาเป็นผู้เล่นที่มีวินัยสูง และเด่นในเรื่องของการอ่านเกม การสกัดบอล และการเติมเกมบุก นี่คือกำลังสำคัญที่พา 2 สโมสรเลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีก 1 มาแล้ว ทั้งกับ อุทัยธานี เอฟซี และ พลังกาญจน์ เอฟซี ในปีล่าสุด
“The NEXT COACH”

นอกจากในสนามแล้ว อีกด้านหนึ่งของโค้ชอ๊อตโต้ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นโค้ชคนแรกๆ ของเมืองไทยที่มีโซเชียลมีเดียของตัวเอง เพราะในปี 2018 เขาคือผู้ก่อตั้ง เพจวิเคราะห์ฟุตบอลชื่อดังที่มีแฟนฟุตบอลติดตามกันมากมายอย่าง "The NEXT COACH” ที่มีเนื้อหาในการเผยแพร่ความรู้ด้านฟุตบอล การวิเคราะห์เกม แทคติกและวิธีการเล่น รวมทั้งการนำเสนอแนวคิดการทำทีมสมัยใหม่ไปสู่สังคมวงกว้าง
นอกจากนั้นแล้ว เจ้าตัวยังมีการเขียนหนังสือวิเคราะห์แทคติกของโค้ชชื่อดังหลายต่อหลายคน ที่มีการตีพิมพ์ออกมาจำหน่าย ซึ่งทุกผลงานล้วนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนบอลมากมายที่ชื่นชอบและชื่นชมในผลงานของเขา

โค้ชอ๊อตโต้ มีประสบการณ์ในการรับจ้างทำเพจตั้งแต่ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย จึงเข้าใจ อัลกอริทึมของเฟซบุ๊ก เป็นอย่างดี เขาเลือกโพสต์ เรื่องเฉพาะทางอย่างเช่น การวิเคาะห์แทคติก และแผนการเล่น ที่ไม่มีใครพูดถึง เพราะถือเป็นเรื่องที่ยังใหม่มากๆ ในตอนนั้น มากกว่าที่จะโพสต์ถี่ ๆ
เมื่อ “คอนเทนต์มีคุณภาพ” มีความรู้จริง ทำให้แต่ละโพสต์ได้รับความสนใจด้วยตัวของมันเอง ผลลัพธ์คือเพจของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็น หนึ่งในเพจแรก ๆ ของไทยที่เล่าเรื่องฟุตบอลในมุมแท็กติกโค้ช
เขาเล่าว่า แม้งานโค้ชจะหนักและใช้เวลามาก แต่ตัวเขานั้น
ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ เขามีวิธีพัฒนาตัวเองที่แตกต่างออกไป
อย่างการทำเพจนั้น เขาเชื่อว่าการจดและเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร จะช่วยให้ได้ทบทวนแนวคิดใหม่ ๆ และสามารถเก็บไว้เป็นองค์ความรู้ที่จะสามารถหยิบมาใช้ได้เสมอ
แม้บางช่วงจะไม่ได้อัปเดตเพจหรือโซเชียลมีเดียบ่อยนัก แต่ในโลก “ออฟไลน์” เขายังคงศึกษาแท็กติก วิเคราะห์ และจดบันทึกไว้อย่างสม่ำเสมอ
เบื้องหลังความสำเร็จของ The Next Coach จึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ
ก้าวสู่เวทีนานาชาติ
ปลายปี 2023 "โค้ชอ๊อตโต้" พันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ กุนซือหนุ่มชาวไทย วัย 26 ปีในตอนนั้น มีข้อเสนอจากต่างแดนเข้ามา จึงตอบรับงานคุมสโมสร "Balochistan Warriors" ในลีกสูงสุดของปากีสถาน ซึ่งถือเป็นโค้ชชาวไทยคนแรก ที่ได้ร่วมงานกับสโมสรในลีกสูงสุดของปากีสถาน

นับว่าเป็นโอกาสครั้งแรกของเจ้าตัวเหมือนกัน ในการเริ่มต้นก้าวแรกที่จะได้ทำตามความฝันกับการได้คุมสโมสรในต่างแดน แต่ยังไม่ทันได้ทำงาน ลีกของปากีสถาน ก็ถูกยกเลิกการแข่งขันไปก่อน...
ตัดภาพมาในปี 2025 นี้ โค้ชอ๊อตโต้ ได้โอกาสทำงานในต่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ถือป็นครั้งแรกจริงๆ ในฐานะ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเยาวชน และ เฮดโค้ชทีมสำรองของ สโมสรเก่าแก่ในสิงคโปร์อย่าง Hougang United (ออกเสียงถูกต้องว่า ฮาวกัง ยูไนเต็ด) ในศึกสิงคโปร์พรีเมียร์ลีก ที่แม้จะไม่ใช่สโมสรยักษ์ใหญ่ แต่ก็ถือว่าเป็นทีมที่มั่นคงและทำอันดับอยู่บนหัวตารางได้มาตลอด

นี่เป็นปีแรกที่สิงคโปร์เปิดโมเดลทีมสำรองอย่างจริงจัง โดยมีทีมชุดใหญ่และทีมสำรองแยกการลงแข่งขัน สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก มีจำนวนประชากรไม่มาก การสร้างระบบลีกสำรองจึงเป็นความพยายามในการเพิ่ม “โอกาสแข่งขัน” ให้เด็กๆและเหล่าผู้เล่นสำรองได้เจอเกมจริงมากขึ้น ไม่ใช่แค่ซ้อมในสนามเพียงอย่างเดียว
โดยก่อนหน้าการเข้ามาของ โค้ชอ๊อตโต้ ช่วงก่อนเปิดฤดูกาลทางสโมสรได้ทำการคว้าตัวผู้เล่นชาวไทยหลายรายเข้ามาร่วมทีม อาทิ ยศกร บูรพา กองหน้าทีมชาติไทย U23, และปริญญา หนูสง สองแข้งที่ยืมมาจาก ชลบุรี เอฟซี รวมถึง เสฏฐวุฒิ วงค์สาย กองหน้าอดีตทีมชาติไทย ชุดเยาวชน

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ Hougang United
ปัจจุบันเจ้าตัวได้รับโอกาสครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของชีวิต เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเป็น หัวหน้าโค้ช (ชุดใหญ่) คนใหม่ของสโมสร ต่อจากโรเบิร์ต เอเซียคอร์ ที่ลาออกจากตำแหน่ง
เนื่องจากทางสโมสรมองเห็นว่า โค้ชอ๊อตโต้ เป็นทั้งผู้ช่วยโค้ชและหัวหน้าโค้ชในทีมเยาวชน ของสโมสรอยู่แล้ว ทำให้เขามีทั้งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับนักเตะในทีมชุดปัจจุบัน และเข้าใจแนวทางของสโมสรเป็นอย่างดี

โดย “โค้ชอ๊อตโต้” ได้เปิดเผยถึงเป้าหมายส่วนตัวในตอนนี้ว่า
“อยากที่จะพัฒนาและยกระดับการฝึกซ้อมของที่นี่ เพื่อสร้างฟุตบอลรูปแบบใหม่ๆแบบที่เป็นแนวทางของตัวเองที่ประเทศแห่งนี้ และอยากจะสร้างทีมให้มีโครงสร้างมีการวางรากฐานที่ดี”
“ในเกมล่าสุดเพิ่งคุมเกมแรกในบอลถ้วยก็ เอาชนะไปได้ 3-2 นักเตะในทีมตอบสนองได้ดีมาก พวกเขาพยายามเปิดรับแนวทางและไอเดียของเราอย่างมาก ผมเชื่อว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
โค้ชอ๊อตโต้ฝากทิ้งท้ายให้แฟนๆไว้ว่า
“ฝากเป็นกำลังใจให้เราฮาวกังยูไนเต็ดด้วยนะครับ ฝากความคิดถึงแฟนๆ ชาวไทย และขอสวัสดีแฟนบอลชาวสิงคโปร์ทุกท่าน ผมพันธุ์นารายณ์ พันธุ์ศิริ จากประเทศไทยครับ”
เป้าหมายและความฝันในอนาคต
“ผมเองมีความฝันตั้งแต่เด็กๆ เลยครับว่า ผมอยากเป็นโค้ชในระดับพรีเมียร์ลีกให้ได้ในสักวันหนึ่ง”
แม้พรีเมียร์ลีกอังกฤษที่เป็นความฝันของเจ้าตัว อาจจะดูห่างไกลราวกับเป็นเรื่องเพ้อฝัน ทั้งในแง่ของระยะทาง และโอกาสความเป็นไปได้ แต่ “โค้ชอ๊อตโต้” เชื่อว่าในยุคนี้
ทุกเส้นทางและทุกโอกาสมีความเป็นไปได้ทั้งหมด
เพราะโลกฟุตบอลในทุกวันนี้เปิดกว้างมากขึ้น การที่โค้ชจากเอเชียสักคน จะได้โอกาสไปคุมทีมในยุโรป ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ดังนั้น เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว ก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด ระหว่างนี้ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างประเทศ ให้ได้มากที่สุด พัฒนาตัวเองทั้งในด้านภาษาอังกฤษ และ การปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมการทำงานสากล และเมื่อถามถึงความฝันสูงสุดของเขา ไม่ว่าจะต้องตอบกี่ครั้ง มันจะยังคงหนักแน่นและชัดเจนเหมือนเดิมทุกๆครั้ง เพราะนี่คือเป้าหมายที่ทำให้ตัวเขาก้าวเข้าสู่เส้นทางโค้ช
แม้ว่าความฝันนั้นจะดูห่างไกลเพียงใด หรือาจจะแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม แต่สำหรับ โค้ชอ๊อตโต้ นั้นมันคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ เพราะในทุกๆวันที่ได้เรียนรู้และเติบโตในสนามฟุตบอลคืออีกหนึ่งก้าวเล็ก ๆ ที่อาจจะพาเขาเข้าใกล้ความฝันในวัยเด็กไปทีละนิดๆ ก็เป็นได้
ดั่งสุภาษิตจีนที่ว่า
“การเดินทางหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรกเสมอ”
และโค้ชหนุ่มคนนี้ ก็ได้เริ่มก้าวแรกของเขาเองไปแล้ว..

ติดตาม และร่วมให้กำลังใจเจ้าตัว ได้ที่..
Facebook: The Next Coach