บันทึกความทรงจำ EP2: เพชฌฆาตดาวยิงจอมพเนจร "พิพัฒน์ ต้นกันยา" (ตอนที่ 2)

เด็กหนุ่มจากอุดร สู่ดาวยิงจอมพเนจร และตำนานทีมชาติไทย ตอนที่ 2
ข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้
พิพัฒน์ ยอมรับข้อเสนอไปเล่นที่อินโดนีเซีย 🇮🇩 กับทีมเพอร์ซีซัม พุตรา ซามารินดา (Persisam Putra Samarinda) ในเดือนตุลาคม ปี 2552 (2009)
[ปัจจุบันคือสโมสรบาหลี ยูไนเต็ด (เอเลียส ดอเลาะห์นักเตะทีมชาติไทยไปค้าแข้งในปี 2024/25)]
จากข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะมันคือข้อเสนอที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเขาเลยก็ว่าได้ ในปีนั้น พิพัฒน์อายุ 29 ปีแล้ว กำลังจะเข้าใกล้เลข 3 ถ้าไม่รับข้อเสนอตอนนี้ โอกาสก็คงไม่ย้อนกลับมาอีก เขาคิดแบบนั้นเลยตกลงตอบรับในทันที และเขาก็คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
"ตอนผมเล่นอยู่ที่เวียดนาม รายได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน แต่พอย้ายไปอินโด รายได้กระโดดขึ้นไปที่ประมาณ 300,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว"

จากนักเตะต่างจังหวัดธรรมดาคนหนึ่ง พิพัฒน์กลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในอาเซียน
พิพัฒน์ไม่ใช่นักเตะที่ชอบโชว์ทักษะอะไรมากมาย แต่ถ้ามีจังหวะหลุดขึ้นมาทีเดียว พิพัฒน์คือคนที่ "ปิดบัญชี" ได้ทันทีอย่างเด็ดขาด เตรียมใส่สกอร์ได้เลย
ครั้งหนึ่งนิรุจน์ สุระเสียง อดีตกัปตันทีมชาติไทยเคยกล่าวไว้ว่า
"ต้น(พิพัฒน์) คือกองหน้าที่คมที่สุดคนนึงของไทย เพราะยิงได้ทั้งเท้าซ้ายและขวา แทบไม่ต่างกันเลยทีเดียว"
เบื้องหลังของดีลนี้ ตอนแรกคือทางฝั่งอินโดนีเซีย มีความตั้งใจจะดึง "ธีรศิลป์ แดงดา" จากเมืองทองไปเล่นที่นั่น โดยวางงบประมาณไว้ก้อนนึง แต่ปัญหาคือธีรศิลป์ยังติดสัญญาอยู่กับเมืองทอง ทำให้ต้องมีค่าฉีกสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดแล้วจึงเกินงบที่ตั้งเอาไว้ หวยเลยมาออกที่พิพัฒน์แทน..
เราต้องการประตูจากนาย
หลังจบเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพกับท่าเรือเสร็จวันเดียว เขาก็ต้องบินไปเลย และอยู่ยาวจนจบฤดูกาลในปี 2553 (2010) ลีกอินโดนีเซียในตอนนั้นมี 16 ทีม 1 ฤดูกาลลงเล่น 30 นัด พิพัฒน์ลงครบทุกนัด ในลีกยิงไป 12 ประตู แล้วยิงในฟุตบอลถ้วยอีก 8 ประตู รวมแล้วทำไป 20 ประตูในฤดูกาลเดียว

ถือว่าเป็นอีกปีที่ผลงานสุดยอดมากๆ สำหรับเขา การเล่นที่นั่นสำหรับพิพัฒน์คือช่วงเวลาที่เจ้าตัวประทับใจที่สุดในชีวิตค้าแข้ง ที่นั่นมีให้ทั้งเรื่องของรายได้ ความเป็นมืออาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือ ความใส่ใจจากแฟนบอลและสโมสร
"การไปเล่นที่อินโดนีเซียสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยคือแฟนบอล พวกเขาเชียร์กันแบบสุดพลัง แถมมีแต่งเพลงเชียร์ให้ผมโดยเฉพาะอีกด้วย! เวลาที่ทีมเล่นในบ้าน ถ้าเกมเริ่มอึดอัด ยิงไม่ได้ แฟนบอลจะเริ่มร้องเพลงประจำตัวเรา"

"เนื้อร้องความหมายแปลออกมาคือ พิพัฒน์ ต้นกันยา เราต้องการประตูจากนาย พอผมได้ยินเพลงนี้เท่านั้นแหละ มันเหมือนมีแรงฮึดขึ้นมาทันที ประมาณว่า เพลงมาแล้ว แฟนบอลก็รอแล้ว เราต้องทำให้ได้!"
"แล้วถึงเวลานั้นทีไรจังหวะในเกมก็เข้าทาง ยิงได้บ้าง แอสซิสต์ได้บ้าง เหมือนเป็นพลังงานพิเศษจากบนอัฒจันทร์ที่ส่งตรงถึงผมในสนามเลยครับ"
ถึงเวลากลับบ้านอีกครั้ง....
หลังจบซีซั่น พิพัฒน์กลับมาพักผ่อนที่เมืองไทย โดยยังเหลือสัญญาอีก 3 เดือน ยังไม่ได้มีการขยายสัญญาออกไป ทำให้ในตอนนั้นเริ่มมีหลายทางเลือกเข้ามา มีหลายทีมสนใจในตัวเขา และหนึ่งในนั้นก็คือ บุรีรัมย์ พีอีเอ (ทีมการไฟฟ้าเดิม ก่อนรวมทีมกับบุรีรัมย์ เอฟซีในตอนหลัง) ที่ตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นยุคสร้างทีมใหม่ๆ
"ผมได้รับโทรศัพท์จาก พี่เสน่ห์ เจ้าหน้าที่ทีมชาติ และเป็นคนบุรีรัมย์โดยกำเนิด โทรมาชวนให้ผมไปชมเกมของทีม โดยบอกว่า “ท่านเนวิน ประธานสโมสรอยากเชิญมาดูเกม” ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ขับรถจากกรุงเทพฯ มาบุรีรัมย์เลย"
เป็นเรื่องบังเอิญมากที่เกมนัดนั้นเป็นศึกเอฟเอคัพ ที่บุรีรัมย์เจอกับราชประชา ทีมเก่าของเขาพอดี ตอนแรกพิพัฒน์ขึ้นไปนั่งชมเกมบนอัฒจันทร์ตามปกติ แต่พอถึงช่วงพักครึ่ง อยู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกกับเขา ให้ลงไปที่ข้างสนาม แล้วยื่นเสื้อหมายเลข 9 ที่มีชื่อพิพัฒน์อยู่ด้านหลังมาให้
ทั้งที่ในตอนนั้นตัวเขายังไม่ได้เซ็นสัญญากับทางบุรีรัมย์เลย เจ้าตัวก็งงเล็กน้อย แต่สุดท้ายการเซ็นสัญญาก็เกิดขึ้นในที่สุด พิพัฒน์ ต้นกันยา กลายเป็นดาวยิงคนใหม่ในถิ่นปราสาทสายฟ้า
แม้ปีนั้นบุรีรัมย์ พีอีเอยังเป็นรองแชมป์ (แชมป์คือสโมสรเมืองทอง) แต่ก็รู้ได้เลยว่านี่เป็นทีมที่กำลังสร้างอะไรบางอย่าง และมีทิศทางชัดเจน ด้วยตำแหน่งของพิพัฒน์ คือ "กองหน้า" ซึ่งตรงนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายสุดๆ เพราะจะต้องไปเบียดแย่งตำแหน่งกับพวกศูนย์หน้าต่างชาติอย่างบราซิล
พิพัฒน์พอจะมองออกว่าคงไม่ได้ลงเล่นแน่ๆ และตัวเขายังมีความต้องการที่จะลงสนามอยู่ ยังรู้สึกว่าตัวเองมียังไฟ ยังมีของ ก็เลยตัดสินใจขอย้ายทีมในที่สุด
"บอกตรงๆ เลยว่าตัวต่างชาติโคตรเก่ง ถึงผมจะระดับทีมชาติไทยชุดใหญ่ แต่พอมาเจอพวกบราซิลเหล่านี้ทั้งสปีด, ความสามารถเฉพาะตัว, เทคนิคการยิง ทุกอย่างมัน ครบเครื่องมาก คือเราดูบอลเป็น เราเป็นนักบอลเหมือนกัน"
เขาก็รู้เลยว่ามันถึงเวลาแล้ว..
"กูสู้ไม่ได้ว่ะ เหมือนผีเห็นผี นักเตะเก่งเจอกัน มองตาก็รู้ว่าใครเหนือกว่า"
มือปืนพเนจร กับภารกิจ "รับจ้างเลื่อนชั้น"
หลังจากย้ายออกจากบุรีรัมย์ พีอีเอ พิพัฒน์ในวัย 33 ปี เริ่มเข้าสู่ "ช่วงปลาย" ของชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ ตัดสินใจเลือกมาอยู่กับ สโมสรโอสถสภา ที่ตอนนั้นยังมีแข้งต่างชาติระดับคุณภาพอยู่ โดยเฉพาะ เคลตัน ซิลวา ซึ่งพิพัฒน์มีโอกาสเล่นคู่กันบ้าง ในระบบกองหน้าคู่
"โคตรพีค(เคลตัน ซิลวา) ทั้งสปีด ความแข็งแกร่ง และเทคนิค คืออยู่ด้วยแล้วรู้เลยว่าไอ้นี่มันของจริง จากการที่ผมได้เล่นด้วยกัน"

ด้วยอายุที่เริ่มเยอะขึ้น สภาพร่างกายไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่จังหวะพีคแบบสมัยวัย 27-29 อีกต่อไป พิพัฒน์อยู่กับโอสถสภาได้เพียงปีเดียว ก็มีข้อเสนอจากทีมสุพรรณบุรี เอฟซี ที่ตอนนั้น คุณท็อป วราวุธ ศิลปอาชา ต้องการผลักดันทีมจากดิวิชั่น 1 ขึ้นไทยลีกให้ได้

ในตอนนั้นทีมยังไม่มีศูนย์หน้าตัวจบสกอร์แบบแท้ๆ เลยมองว่าถ้าดึงพิพัฒน์ที่เป็นกองหน้าระดับไทยลีกเข้ามาน่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ปีนั้นพิพัฒน์ยิงไปถึง 15 ประตู เป็นดาวซัลโวของทีม พาสุพรรณบุรีเลื่อนชั้นได้ จากการเป็นรองแชมป์
หลังจากเลื่อนชั้นกับสุพรรณบุรี ก็มีข้อเสนอจากทีม ปตท.ระยอง ติดต่อเข้ามา ทีมนี้กำลังสร้างทีมขึ้นมาใหม่เหมือนกัน และตั้งเป้าจะขึ้นสู่ลีกสูงสุดให้ได้ และก็เป็นพิพัฒน์อีกครั้งที่ถูกดึงตัวเข้ามาช่วย

"ผมเลยกลายเป็นเหมือน นักเตะรับจ้างเลื่อนชั้น เป็นหมาแก่ที่ยังขู่ได้ เราอาจจะไม่ได้เล่นสวยเหมือนสมัยหนุ่มๆ แต่เรารู้จังหวะเกม มีประสบการณ์ และเล่นเน้นผลล้วนๆ คือเป็นคนที่สโมสรในลีกรองยังไว้วางใจ เพราะประสบการณ์ยังข่มน้องๆ ได้อยู่ แม้อายุจะมากแล้วก็ตาม"
ฝันสุดท้าย: กลับบ้านเกิด ก่อนแขวนสตั๊ด
เข้าสู่ปี 2557 (2014) พิพัฒน์ ต้นกันยา ยังคงทำหน้าที่ "รับจ้างเลื่อนชั้น" ให้กับหลายทีมในลีกพระรอง เช่นย้ายไปอยู่กับ เชียงใหม่ เอฟซี ด้วยเป้าหมายเดิม คือพาทีมขึ้นไทยลีก โดยตอนนั้นได้ร่วมงานกับ "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม แต่ปีนั้นทีมพลาดโอกาสขึ้นชั้นไปอย่างน่าเสียดาย
ต่อมาได้ย้ายไปทีมภูเก็ต เอฟซี ในปี 2558 (2015) ในตอนนั้นเองที่พิพัฒน์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอายุก็ 35–36 ปีแล้ว ร่างกายไม่เหมือนเดิม เริ่มโรยรา แต่ก็ยังเหลือความฝันอีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำนั่นคือ
"ผมอยากกลับไปเล่นให้บ้านเกิดสักปี ก่อนเลิกเล่น"
สุดท้าย เขาได้กลับบ้านเกิดตามที่คาดหวัง ได้ลงเล่นให้กับทีม อุดรธานี เอฟซี ในช่วงสุดท้ายของชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ
ในวัย 37 ปี เจ้าตัวสวมปลอกแขนกัปตันทีมเดินนำน้องๆ ลงสู่สนาม ภายใต้การทำทีมของ โค้ชโชค "โชคทวี พรหมรัตน์" ที่มารับหน้าที่เฮดโค้ชของทีม
โดยหน้าที่ของเจ้าตัวในสนามไม่ใช่แค่ลงไปล่าตาข่ายอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่คือการลงไปเพื่อช่วยดูแลน้องๆ เป็นพี่ใหญ่ ทั้งในสนามและนอกสนาม เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ในจังหวัดอุดรฯที่มีความฝันเหมือนตัวเองในวัยเด็ก
ธงไตรรงค์บนอกเสื้อ 🇹🇭
สำหรับเรื่องราวเส้นทางในนามทีมชาติของไทยของ พิพัฒน์ ต้นกันยา ถ้านับเฉพาะ "ทีมชาติชุดใหญ่" จริงๆ อาจจะไม่ได้ยาวนานหรือเต็มไปด้วยเรื่องราวและถ้วยรางวัลเหมือนนักเตะบางคน แต่มันก็เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย
ปี 2542 (1999) คือจุดเริ่มต้น พิพัฒน์ได้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรกในยุคของ โค้ชปีเตอร์ วิธ เฮดโค้ชชาวอังกฤษ เป็นยุคที่ทีมชาติไทยเริ่มมีโครงสร้างการเล่นแบบเป็นระบบมากขึ้น มีการวางรากฐาน และตัวเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกเลือกให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้น
หลังจากไปเล่นที่เวียดนาม ชื่อของเขาก็ห่างหายไปจากสารบบของทีมชาติอยู่พักใหญ่ เนื่องด้วยในยุคที่ข่าวสารยังไม่ทั่วถึงรวดเร็วเหมือนในยุคนี้นั้น
ทีมชาติมักจะเรียกตัวที่เล่นอยู่ในไทยก่อนตัวที่อยู่ต่างประเทศ เพราะสามารถเช็คฟอร์มได้ดีกว่า และการเดินทางข้ามประเทศยังไม่สะดวกเช่นทุกวันนี้
ก่อนที่เจ้าตัวจะได้กลับมาติดอีกครั้งในปี 2549 - 2550 ยุคของ "โค้ชหรั่ง" อ.ชาญวิทย์ ผลชีวิน แล้วก็ติดต่อเนื่องมาอีกสักระยะ แต่ตอนนั้นเป็นการกลับมาในช่วงที่อายุผ่านหลัก 30 แล้ว จึงอาจจะไม่ได้เป็นตัวหลัก แต่ทุกครั้งที่ได้สวมเสื้อทีมชาติลงสนาม พิพัฒน์ยังคงภูมิใจทุกครั้ง และเต็มที่อยู่เสมอ
"หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า...ผมไม่เคยได้เล่นซีเกมส์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ตอนที่ผมเด็กๆ ซีเกมส์ไม่จำกัดอายุ แต่พอถึงช่วงที่ผมเริ่มโตขึ้น อยากมีโอกาสไปเล่นบ้าง เขาก็เปลี่ยนกฎไปใช้นักเตะอายุไม่เกิน 23 ปีแทน"
"ผมยังรู้สึกเสียดายจนถึงทุกวันนี้เลยว่า ถ้าได้เล่นซีเกมส์บ้าง ผมว่าผมน่าจะยิงได้เยอะเลยนะ... มันจะเป็นการเพิ่มสถิติจำนวนประตูในนามทีมชาติให้มากขึ้นกว่านี้"
ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา “เด็กคนนี้มีของ”
ถ้าจะพูดถึงนักเตะรุ่นใหม่สักคนที่พิพัฒน์ชื่นชอบเป็นพิเศษ เขาคนนั้นคือ "เจ้าแบงค์" ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พิพัฒน์เจอเด็กคนนี้ครั้งแรกแบบบังเอิญๆ
"ตอนนั้นผมเปิดยูทูบดูแมตช์ย้อนหลัง เกมที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาอุ่นเครื่องกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดที่ผมได้ลงแข่งขัน"
"ผมดูตั้งแต่นาทีแรกยันจบเกมเลยครับ ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า และในช่วงพักครึ่ง มีช่วงกิจกรรมยิงจุดโทษของแฟนบอลกับนักเตะ ผมก็เห็นศุภณัฏฐ์ ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย"
สิ่งที่ทำให้พิพัฒน์ประทับใจในตัวเจ้าแบงค์มากที่สุดคือ ทุกครั้งที่ศุภณัฏฐ์ลงเล่นให้ทีมชาติ เขาทุ่มเทเกิน 100% เสมอ มันไม่ใช่แค่ความสามารถทางฟุตบอล แต่เป็น ทัศนคติ พิพัฒน์รู้เลยว่าเด็กคนนี้มีเป้าหมาย มีความฝัน และมีความคิดว่าอยากพาทีมชาติไทยไปให้ไกลกว่านี้
บางคนอาจมีฝีเท้าดี แต่ไม่มีไฟ แต่ศุภณัฏฐ์ เขามีทั้งสองอย่าง
"เวลาที่เด็กคนนี้ลงสนาม คุณจะไม่เห็นเขาเดินเฉื่อย เขาวิ่งทุกจังหวะ พุ่งเข้าหาบอล และจะพยายามทุกทางเพื่อทำให้ทีมได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด"
ประตูแห่งความทรงจำ
ถ้าให้เลือกการทำประตูที่ประทับใจ และยังอยู่ในความทรงจำ?
เจ้าตัวเลือกมาเกมแรกคือนัดที่ยิงทีมชาติโอมานคนเดียว 2 ลูก และจบเกมด้วยการชนะไป 2-0 ในรายการเอเชียน คัพปี 2550 (2007) ที่ไทยเราเป็นเจ้าภาพ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีมากๆ และสภาพร่างกายฟิตสุดๆ หลังกลับจากการเก็บตัวที่อังกฤษและเยอรมัน ซึ่งเจ้าตัวบอกเองว่ายิงด้วยสัญชาตญาณ ที่ได้มาจากการฝึกฝนการยิงประตูจนเคยชิน
ยิงประตูสุดสวยรายการ AFC Asian Cup 2007 Thailand 2-0 Oman
ส่วนอีกประตูคือ ลูกยิงใส่ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2561 (2018) ที่ทำได้หลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้ว
"ช่วงหนึ่งผมไปเป็นโค้ชอยู่ที่ ระยอง เอฟซี แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนโทรมาชวนว่า พี่ต้น! มาช่วยทีมตำนานบุรีรัมย์หน่อย จะเตะกับตำนาน ดอร์ทมุนด์"
พิพัฒน์ที่ร้างสนามมาเป็นปีๆ แล้วมีเวลาแค่ 1 สัปดาห์ จึงไม่รอช้า ให้ภรรยาที่เป็นเทรนเนอร์ฟิตเนส ช่วยเทรนแบบจริงจังทันที เกมนี้แม้จะเป็นแมตช์กระชับมิตร แต่ฝั่งดอร์ทมุนด์ ก็ขนดาวดังมาล้นทีม ทั้ง โมฮัมเหม็ด ซีดาน, เดเด้, ดาวิด โอดอนคอร์, และ มาร์โช่ อโมโรโซ่
แม้จะเป็น "ทีมรวมตำนาน" แต่เรื่องความฟิตและคลาสบอลก็ยังคงอยู่ในระดับสูง
"ผมยิง 1 ประตูใส่ทีมดอร์ทมุนด์ วันนั้นเราลงไปเล่นในสนามเดียวกับผู้เล่นระดับโลก แล้วดันยิงได้อีกเป็นคนไทยคนแรกที่ยิงดอร์ทมุนด์ได้ (ยิงผ่านมืออดีตผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันอย่างโรมัน ไวเดนเฟลเลอร์)"
บุรีรัมย์ 1-1 ดอร์ทมุนด์
"ถ้าเป็นภาษาศาสนาพุทธก็คือ บรรลุอรหันต์แล้ว! ผมวิ่งจนตะคริวจะขึ้น เพราะอยากทำให้ดีที่สุด ประตูนั้นได้จากการเปิดของ วีระยุทธ จิตขุนทด ที่ตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้ซ้อมด้วยกันเลยด้วยซ้ำ"
ผมคิดว่าผมเหมือนอินซากี้
กับคำถามว่า "มองตัวเองว่าเป็นกองหน้าแบบไหน?"
เจ้าตัวตอบโดยไม่ลังเลในทันทีว่า คือ ฟิลิปโป้ อินซากี้ เมืองไทย ด้วยสไตล์การเล่นที่อาศัยความเร็วที่จัดจ้าน การเอาชนะกับดักล้ำหน้า การยิงประตูที่เฉียบคม และที่สำคัญคือการยิงประตูสำคัญๆ ได้มากมายตลอดชีวิตค้าแข้ง
เขาเป็นกองหน้าที่ไม่ต้องลากเลื้อยโชว์ลีลา ไม่ใช่กองหน้าที่ต้องลงมาล้วงบอลลึก หรือเน้นเกมเทคนิค แต่เป็นกองหน้าประเภท หาพื้นที่เก่ง รู้จังหวะ และจบสกอร์เด็ดขาด เข้าใจเกมในแบบของตัวเอง รอจังหวะ รอโอกาส และ "จู่โจมในเสี้ยววินาที"
"คือผมรู้มาตั้งแต่เด็กเลยครับ ว่าผมอยากเป็นกองหน้า"
เมื่อถามว่า "ใครคือนักเตะในดวงใจ?"
พิพัฒน์เล่าย้อนถึงช่วงวัยรุ่นที่ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ช่วงนั้น ม.4-ม.5 เขาและเพื่อนๆ รวมกลุ่มกันทำทีมบอลของตัวเอง แข่งตามรายการต่างๆในจังหวัด ซื้อลูกบอล ชุดทีม ครบเซ็ตเหมือนทีมอาชีพ ในช่วงเวลาที่ฟุตบอลอิตาลีครองเมือง พิพัฒน์และเพื่อนๆ สวมใส่ชุดแดงดำ ของทีมเอซี มิลาน ลงสนาม ในฐานะกองหน้า
สายตาของเขา ณ ตอนนั้น "เหล่ากองหน้าของทีมในกัลโช่" คือสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดกับคำว่า สุดยอด เพราะครบเครื่องทั้งความเฉียบคม ดุดัน และชาญฉลาดในกรอบเขตโทษ กองหน้าในกัลโช่ เซเรีย อา จึงเป็นเหมือนแม่พิมพ์ ที่หล่อหลอมให้ พิพัฒน์ ต้นกันยา กลายเป็นกองหน้าในแบบที่เขาเป็น
"ผมว่ากองหน้าในลีกอิตาลีมันมีอะไรบางอย่างที่โคตรใช่… มันคือศิลปะของการทำประตูผมชอบ จอร์จ เวอาห์ มากครับ กองหน้าชาวไลบีเรียคนนี้คือแรงบันดาลใจของผมเลย"
ชีวิตในปัจจุบันของดาวยิง สิงห์สำอางค์ และการสร้าง "พิพัฒน์ 2"
ภายหลังแขวนสตั๊ด พิพัฒน์ก็ไม่ได้ออกจากวงการฟุตบอลไปไหน แต่เปลี่ยนบทบาทมาเป็น โค้ชฟุตบอลเยาวชน และเริ่มต้นเส้นทางใหม่ๆ ของตัวเองในการทำตามความฝันที่อยากจะปั้น พิพัฒน์คนต่อไปให้เกิดขึ้นมาประดับวงการฟุตบอลไทย

ปัจจุบัน เจ้าตัวได้เปิดศูนย์ฝึกสอนฟุตบอลในย่านคลองหลวง ปทุมธานี ในชื่อ "Striker Training Center" Core Pathum FC และยังคงลงเล่นฟุตบอลวีไอพี ฟุตบอลการกุศลหรือเกมกระชับมิตรต่างๆ ในนามทีม ทีมสิงห์สำอาง เอฟซี

"แม้จะไม่ใช่เฮดโค้ชทีมใหญ่ แต่ผมอยากถ่ายทอดไปสู่เด็กๆ โดยตรง เน้นสอนเฉพาะด้านที่ผมถนัดที่สุดคือ กองหน้า ผมยังลงเล่นบอลวีไอพีอยู่ อยากทำให้เห็นว่ายังเล่นได้ ยังยิงได้ เด็กมันจะได้มั่นใจ และเชื่อในสิ่งที่ผมสอน"
เส้นทางค้าแข้งอันยาวนานของ พิพัฒน์ ต้นกันยา ยอดดาวยิงโดยกำเนิด อาจจบลงไปแล้ว แต่เรื่องราวของเขายังคงเดินหน้าต่อ ในฐานะผู้ชายที่ผ่านเรื่องราวมาโชกโชนทั้งชัยชนะ ความผิดหวัง และบทเรียนอันล้ำค่า
แม้ฟุตบอลยุคใหม่จะเปลี่ยนแปลงไปมาก กองหน้าต้องรับผิดชอบหลากหลายบทบาท ทว่าทีมชาติไทยยังคงโหยหา "เพชฌฆาตหน้าปากประตู" ที่มีสัญชาตญาณการจบสกอร์อันเฉียบคมแบบพิพัฒน์ ผู้สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูได้เสมอ

20 กว่าปีบนเส้นทางฟุตบอล กับ 16 ทีม และจำนวนเกือบ 200 ประตู..
ถึงเวลาแล้วที่เขาจะนำทุกประสบการณ์มาถ่ายทอดสู่เด็กรุ่นใหม่ เพื่อหวังว่าสักวัน เราจะได้เห็น "พิพัฒน์ ต้นกันยา คนที่สอง" ถือกำเนิดขึ้นมา เป็นความหวังใหม่ในการทำประตูให้ทัพช้างศึกอีกครั้ง
ติดตามผลงานและให้กำลังใจตำนานดาวยิงทีมชาติไทย “พิพัฒน์ ต้นกันยา” ได้ที่
Facebook: Coreball FC. & AD
Facebook: Pipat Thonkanya
📸: Pipat Thonkanya, ฟุตบอลสยาม, สารานุกรมบอลไทย, Pusamania, Bolanusantara, VIVA(ID)