บันทึกความทรงจำ EP2: กำเนิดเพชฌฆาตจากอุดร "พิพัฒน์ ต้นกันยา" (ตอนที่ 1)

ดาวรุ่งอุดร จากภูธรสู่เมืองกรุง

พิพัฒน์ หรือชื่อเดิม "อานนท์ ต้นกันยา" มีชื่อเล่นว่า ต้น เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2522 (1979) ที่ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ที่โรงเรียนบ้านนาดีสร้างบง ในระดับประถมศึกษา โดยโค้ชคนแรกของพิพัฒน์คือ อ.ประทวน กลางวาปี
เส้นทางสายฟุตบอลของเขาหลังจากนั้น ได้เข้าเรียนและฝึกฟุตบอลที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล โดยการปลุกปั้นของ อ.วิลาศ ทิพย์รส ครูพลศึกษา(อดีตนักเตะเก่าของสโมสรฟุตบอลราชประชา ผู้เคยผ่านการฝึกฟุตบอลจากประเทศเยอรมันมาแล้ว) ที่มองเห็นแววของพิพัฒน์และเป็นผู้ผลักดันให้เขาได้เข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสรฟุตบอลราชประชาในเวลาต่อมา

เขาได้มีโอกาสแข่งขันฟุตบอลเยาวชนในรายการ "พานาโซนิค คัพ" ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับสโมสรเก่าแก่แห่งนี้
"เริ่มเล่นใหม่ๆยังเด็กๆ ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแทคติกฟุตบอล รู้อย่างเดียวว่า ผมเป็นคนวิ่งเร็ว"
"โค้ชก็เลยจับให้ไปยืนเป็นกองหน้า เพื่อนเปิดโด่งมาก็วิ่งพุ่งขึ้นหน้าไปอย่างเดียว พึ่งจะมาเรียนรู้และเข้าใจศาสตร์ฟุตบอลแบบจริงๆจังๆ ก็ตอนที่อยู่กับ อ.วิลาศ ที่อุดรพิทยานุกูลนี่ละครับ"
อ.วิลาส ที่ขณะนั้นนอกจากจะเป็นโค้ชให้กับอุดรพิทยานุกูลแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นโค้ชให้ทีมฟุตบอลจังหวัดอุดรธานีอีกด้วย พิพัฒน์ เด็ก ม.4 คนหนึ่งที่ยังไม่มีชื่อเสียงในเวลานั้น ได้ใช้เวลาฝึกซ้อมร่วมกับรุ่นพี่ที่เก่งๆ ของจังหวัดอุดรฯ อ.วิลาส ส่งพิพัฒน์ ลงสนามอย่างต่อเนื่องเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
เมื่อมีโอกาสก็ส่งลงแข่งขันรายการต่างๆ ในระดับภูมิภาค อาทิเช่น รายการภูพานราษฎร์นิเวศ ด้วยสายตาอันยาวไกลและความหวังที่มองเห็นว่า ในอนาคตข้างหน้า พิพัฒน์ อาจจะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะกำลังสำคัญของจังหวัดได้
ช้างเผือกของราชประชา
ยังไม่ทันเรียนจบ พิพัฒน์ ที่ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.5 ต้องนั่งรถทัวร์จากอุดรฯ เพื่อมาเข้าแคมป์ฝึกซ้อมกับสโมสร ที่ราชประชา สปอร์ต ชูเลย์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยต้องเก็บตัวร่วมกับนักเตะจาก มศว ประสานมิตร และสาธิตประสานมิตร เป็นเวลาร่วม 3 สัปดาห์
ก่อนที่จะถูกส่งลงสนามแข่งขันรายการใหญ่ที่กรุงเทพฯ ณ สนามธูปะเตมีย์ โดยได้มีโอกาสปะทะแข้งกับนักเตะดาวรุ่งชื่อดังหลายคนในยุคนั้น เช่น อภิเชษฐ์ พุฒตาล และ สุธี สุขสมกิจ
"อ.วิลาส บอกผมว่าถ้าจบ ม.6 แล้ว อยากจะเล่นฟุตบอลในระดับสูงต่อ ต้องมาที่ราชประชาที่เดียวเท่านั้น"
พิพัฒน์ย้ายเข้ากรุงเทพฯหลังจบชั้นมัธยมปลาย ในปี พ.ศ. 2540 (1997) โดยได้รับทุนช้างเผือก ให้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในแคมป์ฝึกซ้อมของสโมสรอย่างเต็มตัว และเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรราชประชายูคอม สถานที่ ที่ทำให้เจ้าตัวมั่นใจว่าฟุตบอลจะสร้างรายได้ให้กับเขาได้ จากการเรียนรู้ผ่านประวัติของอดีตนักเตะราชประชาที่ไปค้าแข้งในต่างประเทศ
"ผมอยากเป็นเหมือน พี่เฮง(วิทยา เลาหกุล), พี่ป้ำ(วรวรรณ ชิตวณิช), และพี่ซิโก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) ที่ตอนนั้นเป็นกองหน้าตัวจริงของราชประชาอยู่ ผมชื่นชอบฝีเท้าพี่ซิโก้มาตั้งนานแล้ว จนกระทั่งได้มาเจอมารู้จักตัวจริง"

"สมัยตอนซ้อมเยาวชนควีนส์คัพฯ ที่ปากช่อง ตอนนั้นก็มีแอบไปดูทีมชุดใหญ่เขาว่ายน้ำ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย พอได้มาอยู่ที่ราชประชาจริงๆ ก็โดนปลูกฝังหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องระเบียบวินัยและเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้อง"
อดีตดาวยิงชุดนักศึกษา
พิพัฒน์ที่เป็นนักศึกษาถูกส่งเข้าแข่งขันฟุตบอลมหาวิทยาลัยในรายการ "ยูลีก" ครั้งแรก ในนามมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ร่วมกับศิษย์เก่าที่เป็นนักเตะชั้นนำในยุคนั้นอย่าง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, "ไรอันกุ้ง" สุชิน พันธ์ประภาส และ "ปีกปลาร้า" สมาน ดีสันเทียะ
ผนึกกำลังร่วมกับวรวุฒิ ศรีมะฆะ, อนุรักษ์ ศรีเกิด ภายใต้การคุมทีมของ "โค้ชก๊อก" พงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ ที่ขณะนั้นเป็นโค้ชของสโมสร TOT หรือองค์การโทรศัพท์อยู่ด้วย
ดังนั้นโครงสร้างของทีมจึงเป็นการรวมตัวกันของ นักเตะจากราชประชาและจาก TOT และด้วยขุมกำลังระดับทีมชาติ ทำให้มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สามารถเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครองได้ตามคาด
พิพัฒน์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีม เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากผลงานอันโดดเด่น สามารถทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ยามเมื่อเขาลงเล่นหน้าคู่ร่วมกับ "เจ้าโย่ง" วรวุฒิ ศรีมะฆะ ในระบบ 3-5-2 ที่สมัยนั้นจะนิยมใช้กองหน้าตัวใหญ่ 1 คน เพื่อพักบอล และกองหน้าความเร็วสูงอีกคน ที่จะกระชากบอลเข้าไปทำประตู ซึ่งพิพัฒน์คือคนที่ทำหน้าที่นี้
จุดเริ่มต้นเส้นทางสายอาชีพ
พิพัฒน์ลงสนามรับใช้ต้นสังกัดอย่างสโมสรราชประชายูคอม ครั้งแรกในปี 1997 และเริ่มเป็นตัวจริงในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก ในปี 1998 ภายใต้การคุมทัพของ "หมอเมา" ท.พ.พิชัย ปิตุวงศ์
เพียงฤดูกาลแรกของการประเดิมสนาม ดาวยิงวัยเพียง 20 ปี ก็ออกสตาร์ทได้อย่างร้อนแรงในช่วงต้นฤดูกาล เมื่อลงสนาม 6 นัดและซัดไปถึง 5 ประตู ตีคู่นำเป็นดาวซัลโวร่วมกับ รณชัย สยมชัย ของการท่าเรือ

แต่แล้วโชคร้ายก็เข้ามาเยือน เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุนอกสนาม ได้รับบาดเจ็บและก็ไม่ได้ลงเล่นอีกเลยหลังจากนั้น ซึ่งการขาดหายไปของดาวยิงตัวความหวัง ก็อาจเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการตกชั้นไปในปีนั้นของราชประชายูคอมอีกด้วย
"วันนั้นซ้อมแถวรามอินทราเสร็จ เตรียมจะแข่งกับกรุงไทยในวันรุ่งขึ้น ก็วานพี่สุชินมาส่งที่หน้าปากซอยของหอพักแถวธุรกิจบัณฑิตย์ แล้วผมก็โหนรถสองแถวเข้าไปในซอย ที่นั่งข้างในก็ว่างนะ ..แต่ผมก็ไม่ไปนั่ง"
"คิดว่าอีกแค่นิดเดียวก็จะถึง แล้วในหัวเราก็คิดไปเพลินๆถึงการแข่ง ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ยิงได้อีกแน่ๆ เพราะช่วงนั้นกำลังท็อปฟอร์ม นำเป็นดาวซัลโวอยู่"
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น..
"รถโดนชนท้าย ผมบาดเจ็บกระดูกเท้าแตก สมัยนั้นยังไม่มีมือถือ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ติดต่อใครก็ไม่ได้ สุดท้ายได้คุณชาย (หม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร) ส่งคนมาช่วยเซ็นรับรองที่โรงพยาบาลนนทเวช ถึงได้ผ่าตัด กว่าจะได้ผ่าก็ประมาณ 4 ทุ่ม"
พิพัฒน์ใช้เวลารักษาตัวอยู่นานถึง 8 เดือน พักฟื้นอยู่ที่บ้านของม.ร.ว.เจตจันทร์ โดยทุกเช้าจะมีพระมาบิณฑบาตหน้าบ้านหม่อมเจต พิพัฒน์ที่ขณะนั้น ยังคงใช้ชื่อ "อานนท์ ต้นกันยา" ได้พบกับหลวงพี่ปัญจะ ซึ่งมารับบิณฑบาตในทุกเช้า หลวงพี่ได้ขอให้พิพัฒน์ เอาชื่อ, วัน เดือน ปีเกิดมาให้ดู ซึ่งเมื่อดูแล้วหลวงพี่ท่านก็บอกว่า
"ชื่ออานนท์ เป็นชื่อสูง เป็นถึงอัครสาวกของพระพุทธเจ้า ตัวเราอาจจะบุญไม่ถึง อย่าใช้ชื่อนี้เลย"
หลังจากนั้นหลวงพี่ปัญจะจึงเขียนชื่อใหม่ใส่กระดาษมาให้ชึ่งก็คือชื่อ "พิพัฒน์" ที่เจ้าตัวใช้มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

"หลวงพี่บอกว่า..พิพัฒน์ แปลว่าความเจริญ ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไรก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ แล้วเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีเอง กระดาษแผ่นนั้นผมเอาไปอัดใส่กรอบ ทุกวันนี้ก็ยังวางไว้บนหิ้งพระ ซึ่งผมก็คิดว่าไหนๆก็เปลี่ยนชื่อแล้ว ไหนๆเราก็รอดตายมาแล้ว ก็อยากจะตั้งใจเล่นฟุตบอลให้เต็มที่ และทำให้ดีที่สุด"

ดังนั้นเมื่อหายจากอาการบาดเจ็บ พิพัฒน์กลับมาลงสนามอีกครั้งในเวทีดิวิชั่น 1 ซึ่งแน่นอนด้วยคุณภาพฝีเท้าของเขาที่ดีเกินไปสำหรับลีกรอง พิพัฒน์ยิงประตูได้แบบถล่มทลาย จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดาวซัลโวดิวิชั่น 1 และถูกปีเตอร์ วิธ กุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ในยุคนั้น เรียกตัวติดทีมชาติไทยในที่สุด

เขาได้โอกาสลงแข่งขันในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ในปี พ.ศ.2542 (1999) ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ปีเตอร์ วิธและแฟนบอลชาวไทยต้องผิดหวัง เมื่อสามารถทำประตูได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม ในเกมที่พบกับทีมชาติเอสโตเนีย โดยยิงคนเดียวสองประตู ให้ทีมชาติไทยชนะไป 2-1 ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแจ้งเกิดของเขาในเวทีระดับทีมชาติอย่างแท้จริง
ผจญภัยในต่างแดนครั้งแรก 🇻🇳
สโมสรราชประชายูคอม โดยพลตำรวจตรี หม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร ในช่วงเวลานั้นมีการทำข้อตกลงความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ สโมสรฮองอัน ยาลาย จากเวียดนาม 🇻🇳 และเริ่มมีการส่งนักเตะไทยหลายคนไปค้าแข้งที่นั่น นำโดยซุปเปอร์สตาร์ของทีมในเวลานั้น อย่าง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ทางสโมสรราชประชา มีการคัดเลือกนักเตะดาวรุ่งเพื่อตามไปสมทบ และพิพัฒน์ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในนั้นร่วมกับนักเตะอีกหลายคน อาทิเช่น ยุทธจักร ก้อนจันทร์ , เอกลักษณ์ ทองกริต และ โชติพัฒน์ ขาวสังข์
จุดประสงค์ของการส่งดาวรุ่งไปอยู่เวียดนามนั้น หลักๆ คือส่งไปซ้อม ซ้อมกับทีมสำรองของเขา ทำให้ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจพอสมควรในช่วงเวลานั้น ว่าถ้าส่งไปซ้อม ซ้อมในไทยก็ได้ มาตรฐานของเราน่าจะดีกว่าที่นั่นด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้และคิดไม่ถึงคือ การส่งดาวรุ่งฝีเท้าดีของสโมสรไปในครั้งนี้มีเป้าหมายอื่นๆอยู่
"ส่งไปซ้อมก็คือส่งไปโชว์ของให้เขาเห็นครับ ให้เขาได้เห็นฟอร์มจริงๆ ถ้าชอบคนไหนก็จิ้มให้อยู่ต่อ จับเซ็นสัญญาได้เลย"
ระยะเวลาในการไปรอบนั้น ใช้เวลา 3 เดือน แต่ปรากฎว่าเมื่อครบกำหนด สรุปว่าไม่มีใครได้อยู่ต่อเลย ทางฮองอัน ยาลาย ให้เหตุผลว่า พวกเขาได้ตัวนักเตะไทยครบโควต้าไปแล้ว (ซิโก้, ดุสิต, ตะวัน, โชคทวี ,ชูเกียรติ) พิพัฒน์จึงต้องเดินทางกลับไทยพร้อมเพื่อนๆ
โอกาสมาถึงจริงๆแล้ว
หลังเดินทางกลับมาจากเวียดนาม พิพัฒน์ ใช้เวลาไปกับการเรียนที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในวันหนึ่งคุณชาย (หม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร) เรียกตัวเข้าไปพบอีกครั้ง เจ้าตัวตกใจ คิดว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า
แต่แล้วไม่ใช่อย่างที่คิด กลายเป็นว่า คุณชายแจ้งกับพิพัฒน์ว่า มีทีมในเวียดนามสนใจ เพราะช่วงที่ไปฝึกซ้อมที่นั่น บังเอิญมีแมตช์หนึ่งที่เขาทำแฮตทริกได้ ยิงไป 3 ประตู ซึ่งเกมในวันนั้นมีแมวมองของสโมสรหนึ่งกำลังมองหาศูนย์หน้าคนไทย แล้วได้เห็นฟอร์มของพิพัฒน์พอดี จึงติดต่อเข้ามา และทางราชประชาก็ตกลงกับทางนั้นแล้ว
"คุณชายเซ็นอนุมัติแล้วนะ ให้รีบไปคุยวันศุกร์ แล้ววันเสาร์บินเลย ก็ต้องรีบเก็บเสื้อผ้า แล้ววันรุ่งขึ้นต้องบินทันที โชคดีที่มีพาสปอร์ตพร้อมแล้ว ส่วนตั๋วเครื่องบินและเอกสารทุกอย่าง คุณชายให้คนจัดการให้หมด"
"พอบินไปถึงเวียดนามมีผู้จัดการทีมเดินทางมารับที่สนามบิน แล้วพาไปที่เมืองยาลาย (เมืองที่พี่ซิโก้อยู่) ตอนแรกก็นึกว่าจะได้อยู่ทีมของพี่ซิโก้ แต่สุดท้ายมีรถมารับไปส่งอีกเมืองหนึ่ง ชื่อเมืองบินห์ ดินห์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ต้องข้ามเขาเข้าไปอีก”

ในที่สุดเป็นสโมสรบินห์ ดินห์ที่คว้าตัวพิพัฒน์มาร่วมทีม ที่นี่มีนักเตะไทยอย่าง อิสวะ สิงห์ทอง เล่นอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว อิสวะบอกกับพิพัฒน์ว่าลีกของเขาแข่งไปแล้ว 3-4 นัด ตอนนี้ทีมกำลังต้องการศูนย์หน้ามาจบสกอร์พอดี
สิ่งที่ทำให้พิพัฒน์รู้สึกเอะใจก็คือ เสื้อที่จะให้เขาใส่นั้น เป็นเบอร์ 10 แต่ชื่อข้างหลังกลับเป็น "ไพฑูรย์" ซึ่งที่มาของเรื่องนี้ก็คือในตอนแรกสโมสรบินห์ ดินห์ ตั้งใจจะเซ็นสัญญากับ "ไพฑูรย์ เทียบมา" แต่ติดปัญหาบางอย่าง เลยตัดสินใจเปลี่ยนเอาพิพัฒน์มาแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่กะทันหันมาก จนไม่มีเวลาพอที่จะทำเสื้อใหม่ได้ทันในตอนนั้น ก่อนที่สโมสรจะสกรีนให้ใหม่ในเวลาต่อมา
เข้าสู่โหมดอาชีพเต็มตัว
ชีวิตในเวียดนามของพิพัฒน์เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากที่อยู่เมืองไทย ลงเล่นให้ราชประชา ควบคู่กับการเรียนที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นเหมือนกึ่งอาชีพ คือเรียนไปด้วย เล่นบอลไปด้วย หรืออย่างพวกรุ่นพี่ในทีม เขาก็ทำงานประจำกัน พอตกเย็นถึงจะมาซ้อม
เมื่อมาอยู่เวียดนาม มันเป็นเหมือนโลกอีกแบบไปเลย ฟุตบอลที่นี่คือ "ฟุตบอลอาชีพเต็มตัว" นักเตะทุกคนต้องกินอยู่ ต้องนอนในแคมป์ฝึกซ้อมของสโมสร การใช้ชีวิตเป็นแบบนักกีฬาอาชีพจริงๆ
การซ้อมจะมีสองช่วง คือเช้าและเย็นของทุกวัน รอบเช้าเริ่มประมาณ 8 โมง ถึง 10 โมง รอบเย็นเริ่มประมาณบ่าย 3 ถึง 5 โมงเย็น ลีกเวียดนามในสมัยนั้น เวลาแข่งขันจะเป็นตอนบ่าย 3 ยังไม่สามารถลงแข่งเย็นกว่านั้นได้ ด้วยคุณภาพของไฟสนามที่ยังไม่ดีเพียงพอ ดังนั้นการซ้อมจึงถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับเวลาแข่งขันจริง
"ตอนนั้นตื่นเต้นมากครับ เพราะจากที่เคยอยู่ราชประชา เงินเดือนผมประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน แต่พอย้ายไปเล่นที่เวียดนาม เขาให้ค่าจ้างประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเป็นเงินไทยก็ราวๆ หลายหมื่นบาทต่อเดือน เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสิบเท่าเลยทีเดียว"
สโมสรบินห์ ดินห์ที่พิพัฒน์สังกัด ใช้ระบบ 3-5-2 ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่เขาเคยเล่นอยู่กับราชประชา ทำให้สามารถปรับตัวได้ไม่ยาก พิพัฒน์ได้ลงเป็นตัวจริงตั้งแต่นัดแรก และสามารถทำประตูได้อย่างต่อเนื่องจนคว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวของลีกในปีนั้น โดยตามหลังอันดับหนึ่ง เพียงแค่สองประตูเท่านั้น

แม้จะพลาดตำแหน่งดาวซัลโว แต่ทีมของเขาก็มีแชมป์ติดมือ โดยสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพมาครองได้สำเร็จ พิพัฒน์ได้แชมป์แรกตั้งแต่ปีแรกที่ไปเล่น คือปี 2003
ในปีต่อมาสโมสรก็ได้โควต้าไปเล่นในรายการระดับทวีป คือ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ผู้บริหารเริ่มมองว่า ด้วยขุมกำลังที่มีอยู่อาจจะยังไม่เพียงพอ จึงสอบถามมาทางพิพัฒน์ว่า มีนักเตะไทยฝีเท้าดีๆ แนะนำบ้างไหม?
"ตอนนั้นผมก็เลยนึกถึง ยุทธจักร ก้อนจันทร์ เพราะเคยเล่นอยู่ด้วยกันที่ราชประชา และเขาก็เพิ่งพาทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาหมาดๆ สุดท้ายทีมเลยดึงยุทธจักรเข้ามาร่วมทีม แล้วก็ยังมี "พี่ตั้ม" นิรุจน์ สุระเสียง ตามมาเสริมทัพอีกคน"
มุกเดิมๆเริ่มใช้ไม่ได้ผล
เมื่อเข้าสู่ปีที่สองในเวียดนาม ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมของพิพัฒน์ในฤดูกาลก่อน ทำให้เจ้าตัวเริ่มเป็นที่จับจ้องของกองหลังฝ่ายตรงข้าม หลังจากปีแรกที่ทำไปได้ 12 ประตู
พอเข้าสู่ซีซั่นที่สองจำนวนประตูที่ยิงได้เริ่มลดลง เพราะพิพัฒน์ถูกกองหลังคู่ต่อสู้ประกบติด ไม่มีพื้นที่หรือจังหวะในการทำประตู ทุกทีมที่ต้องเจอมาแผนเดียวกันหมด พอเจอแบบนี้เข้าไปพิพัฒน์เองก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
"เข้าใจเลยว่า ฟุตบอลถ้าเจอแท็กติกแบบนี้ โค้ชต้องมีวิธีใหม่ๆ มาช่วยแก้เกม ไม่งั้นกองหน้าก็จะโดนปิดตายแบบผมนี่แหละ มันถึงขั้นมีวลีติดปากว่า ใครยิงก็ได้ แต่อย่าให้พิพัฒน์ได้ยิง ถ้าเล่าสนุกๆคือ ขนาดผมเดินออกไปกินน้ำข้างสนาม ตัวประกบผมยังเดินตามออกมาด้วยเลย"

เมื่อจบฤดูกาลพิพัฒน์ที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเริ่มโดนจับทางได้ กำลังมีความคิดว่าอยากกลับบ้านและเริ่มรู้สึกอิ่มตัว เพราะที่เวียดนามการฝึกหนักมาก วันหนึ่งฝึกซ้อมสองรอบ เช้า-เย็น ทุกวัน แม้กระทั่งวันแข่งขัน ตอนเช้าก็ยังต้องซ้อมเบาๆ อีก
"ถ้าเราไม่ซ้อมหนักเหมือนเขา ก็จะถูกมองทันทีว่า เงินเดือนคุณก็สูง ทำไมยังขี้เกียจซ้อมอีก โดยเฉพาะนักเตะต่างชาติแบบเรา ที่ได้เงินเดือนสูงกว่าเพื่อนร่วมทีมในตำแหน่งเดียวกัน เวลาพวกเขารู้ว่าผมได้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็จะพูดประมาณว่า คุณต้องวิ่งให้มากกว่าผมนะ ต้องยิงให้เยอะกว่าผมด้วย"
ระหว่างกำลังมองหาลู่ทางในการกลับบ้าน ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็มีทีมในระดับ ดิวิชั่น 1 ติดต่อเข้ามา นั่นคือทีมดองทัพที่อยากได้ตัวเขาไปช่วยทีม เพื่อหวังว่าจะช่วยให้ทีมได้เลื่อนชั้น พิพัฒน์จึงตัดสินใจค้าแข้งต่ออีกหนึ่งฤดูกาล ก่อนที่จะหมดสัญญาและเดินทางกลับประเทศไทยในที่สุด
ปลุกไฟในตัว
กองหน้าดีกรีทีมชาติไทยหมดสัญญา เดินทางกลับประเทศ ยังไม่มีทีมเล่น เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่ในยุคปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ถือเป็นเรื่องปกติ ด้วยความที่ระบบของฟุตบอลอาชีพในประเทศยังไม่แข็งแรงพอ
พิพัฒน์ใช้เวลาหลังเดินทางกลับมาแบบไม่เร่งรีบ ค่อยๆปรับตัวทีละนิด อาจจะเป็นเพราะจากบ้านเกิดไปนาน และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากอาการเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดหลายปี
"ที่ไทยเรามีซ้อมกันแค่ตอนเย็นเนื่องจากสภาพอากาศ แต่ผมไม่ชิน ผมซ้อมเช้า-เย็น มาตลอดตอนอยู่ที่เวียดนาม พออยู่ไทยตอนเช้ากลายเป็นผมต้องออกไปวิ่ง อยากจะรักษาสภาพร่างกายเอาไว้"
เมื่อเริ่มปรับตัวได้เข้าที่เข้าทาง ไฟในตัวพิพัฒน์เริ่มกลับมา ในปี 2006 เขาได้รับการติดต่อจาก "บิ๊กเปี๊ยก" องอาจ ก่อสินค้า ผจก. สโมสร BEC เทโรศาสน ในขณะนั้นที่แสดงความสนใจจะดึงตัวพิพัฒน์เข้าร่วมทีม
เขาใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน ก็ตอบตกลงร่วมทีมเทโรในที่สุด โดยได้กลับมาร่วมงานยืนเป็นหัวหอกคู่กันอีกครั้งกับ วรวุธ ศรีมะฆะ เหมือนสมัยที่ผสานงานกันในทีมมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
"คุณไบรอัน (ประธานสโมสร) ท่านซี้กับเดวิด ดีน ตอนนั้นเทโรเป็นพันธมิตรกับอาร์เซนอล ช่วงปิดฤดูกาล ยกทีมกันไปซ้อมที่ลอนดอนเลย หลังกลับมา ทางอังกฤษส่ง โค้ช รีจิส มาช่วย ซึ่งเขาเป็นเพื่อนกับอาร์แซน เวนเกอร์"

สโมสรเทโรในยุคนั้นใช้โค้ชอังกฤษ ทำให้ทีมได้เล่นในระบบหน้าคู่ กองหน้าตัวใหญ่หนึ่งคน กองหน้าที่มีความเร็วอีกหนึ่งคน เป็นอะไรที่ลงตัวในทันที
ส่งผลให้พิพัฒน์ยิงกระจาย และจบที่การคว้าตำแหน่งดาวซัลโวมาครองได้ในที่สุด แต่ผลงานของทีมกลับทำได้เพียงจบในอันดับที่ 3 เกิดความเปลี่ยนแปลงในสโมสรในที่สุด รีจิส ลากัสเซ่ กุนซือชาวฝรั่งเศส เดินทางเข้ามาพร้อมด้วยระบบการเล่นและวิธีการใหม่ๆ

ผู้มาก่อนกาล
ตอนนั้นฟุตบอลไทยยังนิยมใช้ระบบ 3-5-2 หรือ 4-4-2 เป็นหลัก แต่การเข้ามาของ รีจิส ลากัสเซ่ กุนซือเมืองน้ำหอม ได้ปรับให้เทโร มาเล่นกันในระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับวงการฟุตบอลไทยในยุคนั้น พิพัฒน์ ไม่เคยเล่นในระบบนี้มาก่อน เพราะปกติจะเล่นเป็นกองหน้า 2 คน ยืนเป็นหน้าคู่
พอมาเล่นในระบบนี้ โค้ชสั่งให้พิพัฒน์ไปเล่นตำแหน่งคล้ายๆ ปีกซ้าย ซึ่งต้องยืนชิดเส้น แต่ก็ได้อธิบายว่าในระบบนี้กองหน้าจะมีสามคนไม่ได้ยืนตายตัว สามารถสลับตำแหน่งกันได้หมด ซึ่งเป็นอะไรที่เปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิมๆของเขาไปโดยสิ้นเชิง

"ผมเคยเจอโค้ชอังกฤษ อย่าง ปีเตอร์ วิธ การซ้อมแน่นเป๊ะทุกอย่างแบบอังกฤษ แต่พอเจอโค้ชฝรั่งเศสกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเขาเน้นไปที่รายละเอียดในเกมมากขึ้น"
"โค้ชพูดอยู่คำหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมคือ บอลอยู่ที่เรา อย่าให้เสียง่ายๆ ถ้าเราทำบอลเสีย 3 ครั้ง มีสิทธิ์ถูกเปลี่ยนตัวออกเลย ผมกลัวเลยครับ ถ้ามันไม่ชัวร์ เราก็ส่งต่อให้เพื่อนไปดีกว่า"
ด้วยแนวทางการเล่นที่สดใหม่เหมือนผู้มาก่อนกาล รีจิส ลากัสเซ่ นำทีมเทโรคว้าแชมป์ในเลกแรกได้สำเร็จ แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะด้วยผลงานของโค้ชรีจิส ที่โดดเด่นจนไปเตะตาทีมกลันตันจากมาเลเซียเข้า ทำให้ถูกดึงตัวไปในที่สุด เมื่อเสียหัวเรือใหญ่ไป ส่งผลให้เทโรในเลกที่สองออกอาการเป๋ จนสุดท้ายชวดแชมป์ไปในที่สุด
ฝันที่เป็นจริง: แชมป์ลีกครั้งแรกในชีวิต
"ผมเองเล่นมาหลายปีก็ยังไม่เคยได้แชมป์ลีก บอลถ้วยเคยได้แล้ว แต่แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ ยังไม่เคยไปถึง เลยอยากได้สักครั้ง"

ในปี 2551 (2008) ตอนนั้นเพื่อนสนิทของพิพัฒน์อย่าง อภิเชษฐ์ พุฒตาล ซึ่งเคยเล่นด้วยกันที่สโมสรราชประชา ย้ายไปอยู่กับสโมสรการไฟฟ้าแล้ว ได้โทรมาชักชวนตัวเขาให้ไปร่วมทีมด้วยกัน
ในตอนนั้น แม้ทีมจะซ้อมกันในกรุงเทพฯ ย่านงามวงศ์วาน แต่ลงแข่งสนามเหย้าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในนามของสโมสรการไฟฟ้า-อยุธยา และทันทีที่ย้ายไป พิพัฒน์ก็ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกร่วมกับทีมได้ทันที ในสถานการณ์ที่ต้องขับเคี่ยวกับสโมสรชลบุรี และต้องตัดสินแชมป์กันถึงนัดสุดท้าย
"เรานำชลบุรีแค่แต้มเดียว นัดสุดท้าย ชลบุรีไปเยือนอาร์มี่ ส่วนการไฟฟ้าของผมต้องออกไปเยือนโค้กบางพระ ที่ก็รู้กันว่าเป็นทีมน้องของชลบุรีอยู่แล้ว เขาสู้เต็มที่เพื่อช่วยชลบุรีแน่นอน ผมจำได้เลย วันนั้นทางชลบุรียิงขึ้นนำเร็ว ทำให้เราเหลือโจทย์เดียวคือ ต้องชนะเท่านั้น"
"ผมจำได้แม่น เหมือนบอลมันลอยมาแล้วไม่ถึงตัว แต่ผมเอาต้นแขนพักก่อนเล็กน้อยแล้ววอลเลย์ บอลชนเสาเด้งเข้าประตูไป ผมยังไม่กล้าดีใจเลย กลัวว่ากรรมการจะเป่าเป็นแฮนด์บอล... แต่สุดท้ายกรรมการเป่าให้ เป็นประตู"
"จากประตูนำร่องของผมลูกนี้ ทำให้หลังจากนั้นพวกเราก็เล่นแบบสุดพลัง ไล่ยิงเพิ่ม กลายเป็นชนะขาด 4-1 หรือ 5-1 นี่แหละ แล้วก็รับถ้วยแชมป์กันที่สนามโค้กบางพระนั่นแหละ ผมยังจำภาพวันนั้นได้ชัดเจน"
ทำให้เขาและทีมการไฟฟ้า คว้าแชมป์ลีกครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของทีมในที่สุด
เปลี่ยนหัวสิงห์กับการท่าเรือ
ปี 2552 (2009) อาจารย์ไพบูลย์ เลิศวิมลรัตน์ กุนซือใหญ่ของสโมสรการท่าเรือในเวลานั้น มีความชื่นชอบในสไตล์การเล่นของพิพัฒน์เป็นการส่วนตัว จึงดึงตัวพิพัฒน์เข้าสู่ถิ่นแพท สเตเดี้ยม และบอกกับพิพัฒน์ว่า "เขามีคู่มือการใช้" และรู้ว่าต้องใช้พิพัฒน์แบบไหนจึงจะทำให้เจ้าตัวเปล่งประกายออกมาได้มากที่สุด

แต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้ใช้งานพิพัฒน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจารย์ไพบูลย์ ก็มีอันต้องกระเด็นจากตำแหน่งไปอย่างรวดเร็ว โดยมี "สะสม พบประเสริฐ" เข้ามารับช่วงคุมทีมต่อ
ปีนั้นเองก็กลายเป็นอีกหนึ่งในปีที่พิพัฒน์โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตค้าแข้ง แม้ทีมจะจบอันดับ 4 ของไทยลีก แต่ก็ยิงพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ
"ปีนั้นผมได้รางวัลกองหน้ายอดเยี่ยมของลีก รวมถึงเป็นดาวซัลโวของทีม"
โดยหนึ่งในเกมที่เขาไม่เคยลืมเลย คือรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ 2009 ที่การท่าเรือฯ ต้องพบกับอดีตต้นสังกัดของเขาเอง บีอีซี เทโรศาสน เกมนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ก่อนหน้าจะลงสนาม พิพัฒน์เพิ่งเซ็นสัญญาย้ายไปเล่นที่อินโดนีเซีย ทำให้เขากังวลว่าผู้บริหารอาจจะคิดว่าเขาจะลงเล่นแบบไม่เต็มที่ แต่ไม่เลย เพราะนี่จะเป็นนัดสุดท้ายของเขากับสโมสรการท่าเรือแล้ว
แม้จะมีอาการตะคริวถึง 3 รอบในเกมนั้น แต่เขาก็ยืนยันว่าจะอยู่ในสนามให้ได้จนจบ เกมลากยาวไปจนถึงช่วงต่อเวลา 120 นาที ก่อนที่จะต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และพิพัฒน์รับหน้าที่ยิงเป็นคนสุดท้าย
"ตอนนั้น ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน เป็นผู้รักษาประตูฝั่งเทโร ผมกับเขารู้ทางกันดีเพราะเก็บตัวทีมชาติมาด้วยกัน ผมไม่คิดอะไรเลยตอนนั้น ขอยิงให้เต็มข้อไว้ก่อน เรื่องทิศทางไว้ทีหลัง และโชคชะตาก็เข้าข้างบอลพุ่งเรียดเสียบเข้ากลางประตู ขณะที่ศิวรักษ์พุ่งไปอีกทาง ผมกลายเป็นฮีโร่ทันทีในค่ำคืนนั้น"

หัวหอกตัวความหวังแห่งการท่าเรือ ไม่ทำให้แฟนๆต้องผิดหวัง คว้าแชมป์ร่วมกับทีมได้ในที่สุด..
คลิปไฮไลต์การแข่งขัน
ย้อนกลับไปถึงเรื่องที่พิพัฒน์เพิ่งเซ็นสัญญาย้ายไปเล่นที่อินโดนีเซีย เส้นทางของเขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เขากำลังมุ่งหน้าสร้างตำนานบทใหม่อีกครั้งในต่างแดน หลังฝากผลงานและความทรงจำอันน่าประทับใจเอาไว้ในสีเสื้อของการท่าเรืออย่างที่แฟนบอลสิงห์เจ้าท่าคงไม่มีวันลืม
อ่านต่อ ตอนที่ 2 คลิกที่นี่