บันทึกความทรงจำ EP1: กัปตันทีมชาติไทยเบอร์ 12 “นิรุจน์ สุระเสียง” (ตอนที่ 2)

เส้นทางกับช้างศึก
นิรุจน์ผ่านการลงสนามรับใช้ทีมช้างศึกอย่างโชกโชน โดยมีสถิติลงเล่นให้กับทีมชาติไทยถึง 62 นัด ระหว่างปี 2000-2009 (อาจจะมากกว่า 70 นัดด้วยซ้ำ ถ้ารวมนัดแบบไม่เป็นทางการ เพราะการบันทึกสถิติสมัยก่อนยังไม่ได้มีมาตรฐานเหมือนทุกวันนี้)

นิรุจน์ร่วมเป็นหนึ่งในชุดคว้าเหรียญทองซีเกมส์ปี 2001 ที่ประเทศมาเลเซีย, แชมป์อาเซียนฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพ หรือไทเกอร์คัพในปี 2000 และปี 2002 รวมถึงแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ
นิรุจน์มีสถิติยิงประตูให้ทีมชาติในเกมทางการไป 4 ประตู และทีมชาติไทยชนะทุกนัดที่เจ้าตัวยิงได้
โมเมนต์ประทับใจในนามทีมชาติไทย
เด็กผู้ชายคนหนึ่งจากบ้านโป่ง ได้ทุ่มเทชีวิตบนเส้นทางลูกหนัง จนก้าวไปถึงตำแหน่งกัปตันทีมชาติไทย ด้วยประสบการณ์รับใช้ทีมชาติมาอย่างยาวนานนับ 10 ปี นิรุจน์ สุระเสียง มีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้พวกเราฟังถึงความหลัง
นัดแรกในนามทีมชาติไทย
"พอดีพี่ดำกฤษดา (กฤษดา เพี้ยนดิษฐ์) เจ็บ โค้ชถามว่าเราเล่นได้ไหม เราอยากเล่นนะ ก็เลยบอกได้ ลงไปก็ได้เล่นแบ็คขวายาวเลย"

นิรุจน์ สุระเสียง ได้รับโอกาสลงประเดิมสนามครั้งแรกในนามทีมชาติไทย ในการแข่งขันฟุตบอลนัดประวัติศาสตร์ ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 ในปี 2000 ที่ทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ ไล่ถล่มทีมชาติไทยไปขาดลอย 7-0
ขุนพลทีมแซมบ้าชุดนั้น นำทัพมาโดย ริวัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ นอกจากนั้นยังมี เอเมอร์สัน , โรเก้ จูเนียร์ , มาริโอ ยาร์เดล ,โจวานนี่ เอลแบร์, คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, จูนินโญ่ เปอร์มันบูร์กาโน่, และ เซ โรเแบร์โต้ เป็นต้น
ส่วนโล้นทองคำ โรนัลโด้ นั้นน่าเสียดายที่มีอาการบาดเจ็บ จึงไม่ได้ถูกส่งลงสนาม

"เล่นขวาเจอร์คาร์ลอส (โรแบร์โต้ คาร์ลอส) โอ้โห ตื่นเต้นมากๆเลย"
เกมนัดนี้จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งในแมตช์แห่งความทรงจำของทั้งตัวของนิรุจน์เองและแฟนบอลชาวไทยที่คงไม่มีวันลืมเลือน
แมตช์ในฝัน
แมตช์ประวัติศาสตร์ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ ทีมชาติไทย เกิดขึ้นในปี 2003 โดยยักษ์ใหญ่แห่งศึกลาลีกา สเปน ในยุคกลาติกอส ขนนักเตะซุปเปอร์สตาร์มาครบทีม นำโดย เดวิด เบคแฮม ที่เพิ่งย้ายมาอยู่กับทีมราชันชุดขาวเป็นปีแรก, ซิเนดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้, ราอูล กอนซาเลซ, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, กูตี และที่ขาดไม่ได้คือ โรนัลโด้ ดาวยิงทีมชาติบราซิล

ขณะที่ทีมชาติไทย ในตอนนั้นเพิ่งเปลี่ยนโลโก้จากธงชาติมาเป็นรูปช้างศึกบนหน้าอกเสื้อ คุมทีมโดย ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ นำทัพด้วย ดาวดังแห่งยุคอย่าง ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, เทิดศักดิ์ ใจมั่น, ดุสิต เฉลิมแสน, โชคทวี พรหมรัตน์ และ โจ้ 5 หลา ศรายุทธ ชัยคำดี ที่ต่อมาเป็นผู้ทำประตูให้ทีมชาติไทยได้ในนัดนี้ด้วย
โดยเกมนี้ นิรุจน์ถูกส่งลงมาในครึ่งหลังนาทีที่ 65 แทนที่ของโชคทวี พรหมรัตน์ ซึ่งขณะนั้นทีมชาติไทยเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ 1-2 และจบเกมไปด้วยสกอร์นี้ โดยนิรุจน์ได้เล่นจนจบเกม และยังได้สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมอีกด้วย

หลังจบเกมเจ้าตัวได้แลกเสื้อกับเฟอร์นานโด มอริเอนเตส (กองหน้าของทีมชุดขาวในตอนนั้น และภายหลังย้ายมายังลิเวอร์พูล สโมสรในดวงใจของนิรุจน์อีกด้วย)
"คือมันสุดยอดในชีวิตเลยครับ เข้าบอลก็กลัวทำเขาเจ็บ เหมือนเราไปดูเขาเล่นมากกว่า เขาเล่นบอลง่ายมาก แปะแล้ววิ่ง ทุกอย่างมันเร็วแต่ดูง่ายไปหมด"
นิรุจน์เล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน..
พ่ายแพ้ ..แต่ไม่เคยลืม
อีกหนึ่งความประทับใจคือ นิรุจน์เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติไทย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบแบ่งกลุ่ม รอบที่สอง ในเกมที่ต้องบุกไปเยือนทีมชาติญี่ปุ่น ณ สนามไซตามะสเตเดี้ยม ท่ามกลางแฟนบอลเจ้าถิ่นเต็มสนาม

การลงเล่นภายใต้อากาศที่หนาวเย็นจนหิมะตก ถุงมือที่เตรียมไปก็เป็นถุงมือธรรมดา ที่ไม่สามารถจะกันหนาวขนาดนั้นได้ นิรุจน์สวมปลอกแขนกัปตันทีม เดินนำนักเตะทีมชาติไทยลงสู่สนามอย่างภาคภูมิใจ
แล้วทีมช้างศึกก็เซอไพรส์แฟนบอลเจ้าถิ่นด้วยจังหวะได้ยิงครั้งแรกในเกม ที่ "ลีซอ" ธีรเทพ วิโนทัย รับบอลจาก สุธี สุขสมกิจ บริเวณหน้ากรอบเขตโทษระยะประมาณ 25 หลา ก่อนตัดสินใจตะบันด้วยขวาบอลพุ่งผ่านมือ โยชิคัทสึ คาวากูจิ นายทวารกัปตันทีมปลาดิบเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม ทำให้ไทย ตามตีเสมอ ญี่ปุ่นเป็น 1-1
แม้เกมจะจบลงตามคาด ทีมชาติไทยที่เหลือ 10 คน ต้านไม่ไหวพ่ายไปในที่สุดด้วยสกอร์ 1-4 หยุดเส้นทางฟุตบอลโลกเอาไว้เพียงเท่านี้
รุ่นพี่รุ่นน้อง
"สมัยก่อนรุ่นพี่เลี้ยงรุ่นน้อง เพราะรุ่นพี่เงินเดือนเยอะกว่า แต่เดี๋ยวนี้ชักไม่มั่นใจแล้ว เพราะน้องๆ บางคนก็เงินเดือนแซงหน้าพวกพี่ๆ ไปไกลแล้ว" 😄

เรื่องน่าสนใจในแคมป์ทีมชาติในอดีตที่พอจะเล่าได้คือ วัฒนธรรมเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้อง ในทีมชาติรุ่นก่อนๆ นักเตะจะมีความสนิทสนมกันมาก เป็นพี่เป็นน้องกัน เพราะเวลาเก็บตัวทีมชาติมักมีการรวมตัวกันเป็นระยะเวลานาน เป็นสังคมฟุตบอลที่พี่ดูแลน้อง น้องเคารพพี่ มีความนับถือกัน ไม่มีด่ากันอะไรกัน
พี่ๆ ทุกคนในทีมก็คิดว่าต่อไปไม่มีพี่ๆแล้ว น้องๆ ก็ต้องขึ้นมาแทน พี่ๆจึงต้องช่วยกันดูแลน้องๆ อย่างดี อย่างเวลาไปทานข้าวกันหรือดื่มกาแฟ
"พวกพี่ๆสมัยนั้น เช่น พี่โก้(เกียรติศักดิ์) พี่แบน(ตะวัน) พี่โอ่ง(ดุสิต) ก็จะเป็นคนเลี้ยงตลอด แม้น้องๆ อยากจะช่วยแชร์บ้าง แต่พี่ๆ ก็ไม่ยอม บอกแต่ว่าให้เก็บเงินเอาไว้ แล้วเมื่อต่อไปขึ้นมาเป็นรุ่นพี่แล้วก็ขอให้เลี้ยงน้องๆ รุ่นต่อไปแทนแล้วกัน"
เมื่อมิคเคลสันทำให้ความทรงจำย้อนกลับมา

จุดเด่นของ นิรุจน์ ที่แฟนบอลจำได้คือ นักเตะพลังม้า ทักษะดี วิ่งขึ้นลงไม่มีหมด เป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ มีวินัย และสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง นิรุจน์แจ้งเกิดจากตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ก่อนจะโดนโยกไปเล่นเป็นแบ็คขวา
เจ้าตัวยังสามารถยืนเป็นปราการหลังตัวกลางได้อีกด้วย โดยในสมัยนั้น หลายๆ ทีม โดนเฉพาะทีมชาติไทยชุดใหญ่ ยังใช้ระบบกองหลัง 3 คน โดยมีตัวสุดท้ายห้อยอยู่หลังสุด เรียกว่าตำแหน่งสวีปเปอร์ โดยถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากๆ ในเวลานั้น เพราะต้องเป็นนักเตะที่ทางบอลดี อ่านเกมขาด คอยสั่งการแผงหลังทั้งแผง
ในอดีตก่อนหน้านิรุจน์ คนที่ยืนในตำแหน่งนี้คือ "ดำดินปืน" นที ทองสุขแก้ว สุดยอดกองหลังระดับตำนานทีมชาติไทยที่แฟนบอลรุ่นเก่าๆรู้จักกันดี ซึ่งนั่นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ระดับหนึ่งว่าฝีเท้าของนิรุจน์นั้นมีดีแค่ไหน และทำไมเขาถึงคู่ควรกับปลอกแขนกัปตันทีม
"เราไม่ได้จะมาเปรียบเทียบความเก่งอะไรกันนะ แต่ถ้าแฟนบอลรุ่นใหม่ๆ ไม่ทันได้ดูตอนพี่ยังเล่น พี่ว่ามิคเคลสัน มีส่วนคล้ายพี่นะ"
นิรุจน์มองว่าถ้าในทีมชาติยุคปัจจุบันคาแรคเตอร์ของ มิคเคลสัน นั้นอาจจะใกล้เคียงกับเขามากในเรื่องของการก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก วิ่งอย่างเดียวไม่มีบ่น ตำแหน่งแบ็คขวา และเล่นได้หลายตำแหน่งเหมือนกัน
ที่สำคัญยังสวมเสื้อหมายเลข 12 เหมือนกันอีกด้วย
บทสุดท้ายในสนาม

หลังค้าแข้งในเวียดนามจนอิ่มตัว ก็ถึงเวลาที่นิรุจน์จะหวนคืนสู่แผ่นดินแม่อีกครั้ง บนวัย 33 ปี เจ้าตัวเลือกกลับมาค้าแข้งที่ถิ่นลีโอ สเตเดี้ยม กับทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี โดยเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 2 ปี พร้อมกับได้เสื้อหมายเลข 8 ของสุธี สุขสมกิจ
กับทีมบางกอกกล๊าส อาจจะได้รับโอกาสในการลงสนามไม่มากนัก จึงตัดสินใจย้ายไปช่วยเจ้านายเก่า อ.พยงค์ ขุนเณร ที่กำลังนำทัพช้างศึกยุทธหัตถี สุพรรณบุรี เอฟซี ทีมน้องใหม่สู้ศึกไทยลีก โดยมีโอกาสได้กลับไปเล่นร่วมกับ สุธี สุขสมกิจ อีกครั้ง
นิรุจน์ปิดฉากชีวิตการค้าแข้ง และประกาศแขวนสตั๊ดกับอาร์มี ยูไนเต็ด เป็นสโมสรสุดท้าย ในวัย 36 ปี เพราะรู้สึกว่าตนเองนั้นช้าลงไปมาก แล้วก็ไม่อยากจะนั่งเป็นตัวสำรองอีกด้วย จึงตัดสินใจเลิกเล่นในที่สุด และได้หันไปรับบทบาทผู้ฝึกสอนให้กับหลายสโมสร อาทิเช่น อาร์มี ยูไนเต็ด, ลพบุรีซิตี้ และสระบุรี ยูไนเต็ด โดยปัจจุบันเจ้าตัวยังคงเปิดกว้างพร้อมรับทุกข้อเสนอและความท้าท้ายใหม่ๆ
"พอนึกย้อนกลับไปก็ยังรู้สึกเสียดาย ว่าเราเลิกเล่นเร็วไป ถ้ามีเรื่องที่อยากจะบอกน้องๆนักเตะในรุ่นหลังๆ ก็อยากจะบอกว่า อยากให้พวกเขาเล่นให้นานที่สุด อย่าเพิ่งรีบเลิก เล่นจนกว่าจะเล่นไม่ไหว เพราะเงินเดือนขนาดนี้ มันไม่ได้หากันได้ง่ายๆ"
ชีวิตวันนี้กับบทบาทโค้ชและคุณพ่อ
ปัจจุบันนิรุจน์ กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด จ.ราชบุรี อยู่กับครอบครัว มีลูกทั้งหมด 3 คน โดยลูกชายคนโต ชื่อน้องยูโร เคยติดทีมชาติไทยชุดเยาวชน 16 ปี โดยที่คุณพ่อก็ไม่ได้คาดหวังหรือกดดันให้ลูกๆต้องเป็นนักฟุตบอลตามอย่างคุณพ่อ เน้นขอแค่ตั้งใจเรียน และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำอยู่ก็พอแล้ว

นิรุจน์ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับฟุตบอล โดยได้เปิดอะคาเดมีสอนฟุตบอลของตัวเอง ในชื่อ "นิรุจน์ ซอกเกอร์อะคาเดมี บ้านโป่ง" หลักๆ ตอนนี้ก็จะดูแลอะคาเดมีอย่างเต็มตัว มีเด็กในอะคาเดมีมากกว่า 100 คน เปิดมาเข้าสู่ปีที่ 5 แล้วในตอนนี้ รวมถึงยังได้เข้าไปช่วยทำทีมให้กับโรงเรียนเก่าในวัยเด็กอย่าง สารสิทธิ์พิทยาลัย อีกด้วย

ความทรงจำของเบอร์ 12
Off The Bench ขอร่วมบันทึกความทรงจำไว้ว่า
ทีมชาติไทยเราเคยมีกัปตันผู้ไม่เคยหยุดวิ่ง ไม่เคยยอมแพ้
แม้เวลาจะผ่านไป เบอร์ 12 อาจอยู่บนหลังของนักเตะคนใหม่ แต่หัวใจของ "นิรุจน์ สุระเสียง" ยังคงอยู่ในทุกจังหวะของฟุตบอลไทย ทั้งในบทบาทของผู้เล่น โค้ช คุณพ่อ และผู้ปลุกปั้นเยาวชนคนรุ่นใหม่
นี่คือเรื่องราวของชายผู้ไม่เคยหันหลังให้ฟุตบอล และฟุตบอลก็ไม่เคยหันหลังให้เขาเช่นกัน..
ติดตามให้กำลังใจและอัพเดทข่าวสารความเคลื่อนไหวของอดีตกัปตันทีมชาติไทย ตั้ม "นิรุจน์ สุระเสียง" ได้ที่
📷 : Nirit Surasiang, FootballSiam, Bongdaplus, MGR, Saostar, BBC
(*) Reference: https://bongdaplus.vn/v-league/doan-van-nirut-chuyen-chang-cu-nhan-di-da-bong-2941552004.html